สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจที่ผมไปพบด้วยตัวเองโดยบังเอิญ ขณะที่ผมไปว่าความคดีอาญาคดีหนึ่ง ที่ศาลอาญา ภาพที่ได้เห็น คือ บริเวณหน้าห้องพิจารณามีเด็กอายุระหว่าง 5 ถึง 10 ขวบ ประมาณ 4 ถึง 5 คน มากับผู้ปกครอง ซึ่งพิจารณาเบื้องต้นแล้ว ส่วนใหญ่น่าจะเป็นปู่ย่าตายาย และยังมีผู้ใหญ่อีกบางส่วน รวมแล้วประมาณ 20 คน ซึ่งขณะนั้นผมเองก็ไม่แน่ใจว่า มีคดีอะไร เป็นญาติของจำเลยคดีใด และไม่แน่ใจว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวนั้น มาคดีเดียวกันหรือไม่
ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้พาตัวนักโทษชายประมาณ 2 คน และนักโทษหญิงอีกประมาณ 8 คนเข้ามาในห้องพิจารณา บรรดาปู่ย่าตายายพร้อมกับเด็กๆ จึงเข้าไปสอบถามสารทุกข์สุกดิบของนักโทษ ซึ่งเป็นญาติของตัวเอง นักโทษหญิง ซึ่งเป็นแม่ได้โผเข้ากอดลูก พร้อมกับน้ำตาไหลพราก สร้างความสะเทือนใจให้กับทุกคนที่อยู่ในห้องพิจารณาอย่างมาก
เมื่อศาลออกนั่งพิจารณาคดี และเรียกอัยการโจทก์ และทนายจำเลย มาสอบถามว่า จำเลยทั้งหมดจะให้การรับหรือปฏิเสธ จึงได้ทราบว่าคดีดังกล่าวนั้น เป็นคดีข้อฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และมาตรา 343 จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงอาจจะมีข้อหาอื่นด้วย พฤติการณ์ของจำเลยกลุ่มนี้ทำเป็นขบวนการหลอกให้เหยื่อโอนเงิน หลายท่านอาจจะเคยคุ้นหูมาบ้างแล้ว เรียกง่ายๆ ว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งฐานปฏิบัติการของคนร้ายกลุ่มนี้จะมีฐานบัญชาการอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะมีนายหน้ามาติดต่อให้ไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้าน อ้างว่ามีรายได้ดี มีหน้าที่เพียงแค่รับโทรศัพท์เท่านั้น
...
หลังจากที่ศาลได้สอบถามทนายจำเลยแล้ว ทนายจำเลยจึงได้เดินเข้ามาอธิบายถึงขั้นตอนตามกฎหมาย อธิบายถึงคำตัดสินคดีก่อนหน้านี้ รวมไปถึงผลดีผลเสียของการให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ทันใดนั้นเสียงร้องไห้โฮของนักโทษหญิงหลายคนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนญาติเองก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ส่วนเด็กคงจะไร้เดียงสาเกินกว่าที่จะรับรู้เรื่องราวของพ่อแม่ตัวเอง
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดประเด็นข้อสงสัยกับตัวผมเองหลายประการ เช่น เหตุใดจำเลยจึงไม่ขอประกันตัว ผมจึงได้สอบถามกับญาติของจำเลยทำให้ทราบข้อเท็จจริงว่า นักโทษกลุ่มดังกล่าวนี้ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากมีพฤติการณ์ทำกันเป็นขบวนการใหญ่ หรืออาชญากรรมข้ามชาติ การเข้าจับกุมคนร้ายกลุ่มนี้ ดำเนินการในลักษณะของการประสานงานระหว่างประเทศ จนสามารถจับกุมคนร้ายได้เกือบยกแก๊ง
มีประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติม สำหรับนักโทษบางคนนั้นถูกหลอกให้ไปทำงาน ยังไม่ได้ลงมือทำงาน และขอกลับทันที แต่ไม่สามารถที่จะกลับได้ เนื่องจากถูกกักขังอยู่ในบ้านพัก ซึ่งนักโทษกลุ่มนี้ยังไม่ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือตัวการร่วม แต่ก็ถูกฟ้องร่วมกับจำเลยคนอื่นด้วย และที่ทำให้นักโทษหลายคนจะต้องร้องไห้ เนื่องจากไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร เนื่องจากหากสารภาพ ศาลอาจจะลงโทษเพียงแค่ 4 ปี ตามตัวอย่างคดีที่เคยตัดสินก่อนหน้านี้ แต่หากสู้คดีแล้วแพ้ ศาลอาจจะลงโทษสูงสุดถึง 10 ปี ทั้งนี้ การดำเนินคดีจะดำเนินการอย่างไร อยู่ที่พยานหลักฐาน การแนะนำของทนายเจ้าของคดี และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวลูกความเองด้วย
จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นอุทาหรณ์อย่างดีให้กับผู้ที่ต้องการจะไปทำงานในต่างประเทศ โดยหวังว่าจะได้รับค่าจ้างที่สูง ควรจะต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ที่เป็นนายหน้า หรือบริษัทที่จะพาท่านออกไปทำงานในต่างประเทศ ควรเลือกบุคคลหรือบริษัทที่ได้รับการรับอนุญาตจากหน่วยงานราชการให้พาคนไปทำงานในต่างประเทศเท่านั้นครับ หรือสอบถามข้อมูลจากสำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร เขตพื้นที่ 1 ถึง 10 หรือ กรมการจัดหางาน เพื่อป้องกันมิให้ท่านตกเป็นเหยื่อ หรือตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา
สำหรับใครที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ
Facebook : ทนายเจมส์ LK