สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจ เกี่ยวกับประมวลรัษฎากรที่เพิ่งแก้ไขใหม่ ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2562 และมีผลให้ผู้มีหน้าที่รายงานข้อมูลจะต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีธุรกรรมลักษณะเฉพาะต่อกรมสรรพากรภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรครั้งนี้ เชื่อว่าอาจจะมีผลกระทบกับผู้ที่มีเงินฝากหรือรับเข้าบัญชีธนาคารเกือบทุกคนครับ
ตามประมวลรัษฎากรฉบับแก้ไขเพิ่มเติมได้กำหนดหน้าที่ให้กับสถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์มีหน้าที่ในการส่งข้อมูลลูกค้าที่มีลักษณะพิเศษให้แก่กรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 3 สัตตรส เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ให้บุคคลดังต่อไปนี้มีหน้าที่รายงานข้อมูลของบุคคลที่มีธุรกรรมลักษณะพิเศษในปีที่ล่วงมาที่อยู่ใน ความครอบครองให้กรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
(1) สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(2) สถาบันการเงินของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
(3) ผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงิน ธุรกรรมลักษณะพิเศษตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า ธุรกรรมที่มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดในปีที่ล่วงมาดังต่อไปนี้
(1) ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่สามพันครั้ง
(2) ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่สี่ร้อยครั้ง และมียอดรวมของ ธุรกรรมฝากหรือรับโอนรวมกันตั้งแต่สองล้านบาทขึ้นไป
...
รายการข้อมูลของบุคคลที่มีธุรกรรมลักษณะพิเศษที่ต้องรายงานตามวรรคหนึ่งและ วิธีการรายงาน ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวงให้อธิบดีมีหน้าที่ในการเก็บรักษาข้อมูลที่ได้รับตามมาตรานี้และให้เก็บข้อมูลดังกล่าว ไว้ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่ได้รับข้อมูล
สรุปสาระสำคัญ การแก้ไขประมวลรัษฎากรนี้ดังกล่าวมีผลกระทบต่อบุคคลที่มีเงินเข้าบัญชีธนาคาร 2 กลุ่ม คือ
(1) กลุ่มบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้ง หากสถาบันการเงินตรวจสอบพบว่า การฝากหรือรับเงินเข้าบัญชีตั้งแต่ 3,000 ครั้ง ธนาคารจะต้องรายงานต่อกรมสรรพากรทันที โดยไม่คำนึงถึงยอดรวมของเงินที่เข้าบัญชี และไม่ว่าจะฝากหรือรับโอนเงินด้วยวิธีการฝากเงินสด โอนผ่านบัญชี หรือฝากเงินด้วยเช็คก็ตาม
(2) กลุ่มบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง และมียอดรวมของธุรกรรมฝากหรือรับโอนรวมกันตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป เงื่อนไขตาม (2) คือ 1. จะต้องมีเงินฝากหรือรับเงินเข้าบัญชีตั้งแต่ 400 ครั้ง และ 2.ยอดเงินรวมกันจะต้องมีจำนวนตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป หากรายการฝากหรือรับโอนเงินเข้าบัญชีไม่ถึง 400 ครั้ง หรือยอดเงินรวมกันทุกบัญชีไม่ถึง 2 ล้านบาท สถาบันการเงินก็ไม่ต้องส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากร
ทั้งนี้ การประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวนั้น เป็นการกำหนดหน้าที่ให้สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตรวจสอบและรายงานข้อมูลไปยังกรมสรรพากร หากสถาบันการเงินโอนหรือผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาทและปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาทตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนคำสั่ง และในกรณีที่เป็นเจ้าพนักงานฝ่าฝืนจะมีความผิดมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สุดท้ายนี้ แม้จะข้อมูลของท่านจะถูกส่งไปยังกรมสรรพากรก็ตาม แต่หากท่านยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็ไม่มีผลกระทบอะไรครับ กฎหมายฉบับนี้จะส่งผลกระทบกับผู้ที่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ หรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ไว้ แต่แสดงรายการไม่ครบถ้วนถูกต้องเท่านั้นครับ
สำหรับใครที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ
Facebook: ทนายเจมส์ LK