ท่ามกลางกระแสปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม มีกลิ่นไม่ดีเรื่องการค้าสำนวนอีกแล้ว!
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีการส่งข้อความผ่านโซเชียลในกลุ่มทนายความ อัยการ และนักกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดี ส่งผลกระทบต่อรูปคดีของฝ่ายอัยการ
ถึงแม้เป็นหนังสือตั้งแต่ปี 2552 จากอัยการจังหวัดหนึ่งในพื้นที่ภาค 4 ไปถึงผู้บังคับการตำรวจจังหวัด ใจความว่า มีพนักงานสอบสวนบางคนส่งเอกสารสำนวนการสอบสวนให้ศาลตามหมายเรียก
ทั้งที่สำนวนการสอบสวนส่งไปให้อัยการไปหมดแล้ว?!
ตามกฎหมายเป็นวิธีปฏิบัติไม่ถูกต้อง เพราะเอกสารที่ทนายจำเลยขอเป็นคุณแก่ฝ่ายจำเลย นำไปใช้หักล้างพยานโจทก์ เสียหายแก่รูปคดี
ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 2561 มีนักกฎหมายร้องต่อสำนักงานอัยการสูงสุด ทำนองขอเปิดโปงขบวนการ “ค้าสำนวน” คือ มีเจ้าหน้าที่รัฐบางคนแอบเก็บสำนวนไว้ขายให้ฝ่ายผู้ต้องหาหรือจำเลย
เพื่อเอารายละเอียดข้อมูลไปสู้คดี อย่างนี้รบร้อยครั้ง...ชนะร้อยครั้ง?
ร้อนถึง นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานแล้ว แต่หลักการยังใช้ได้อยู่ เพราะยังมีเรื่องค้าสำนวนมาร้องที่สำนักงานอัยการ มีปัญหาการนำสำนวนที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยไปให้ฝ่ายจำเลยใช้สู้คดีในศาล ทำให้รูปคดีเสียหายจริง
ตามกฎหมาย ป.วิอาญา พนักงานสอบสวนต้องส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการทั้งหมด ไม่มีหน้าที่เก็บสำนวนไว้ จะเก็บได้แค่ “กากสำนวน” หรือถ่ายเอกสารเก็บไว้ อาจเป็นคดีสำคัญ เพื่อไว้เป็นบันทึกช่วยจำ
ถ้าศาลต้องการเอกสารจะหมายเรียกให้อัยการส่งต้นฉบับแก่ศาลเอง และการรับฟังพยานหลักฐานจะใช้แต่ต้นฉบับเท่านั้น ถึงจะรับฟังได้
การที่พนักงานสอบสวนถ่ายสำเนาสำนวนทั้งหมดเก็บไว้ ควรมีความระมัดระวังอย่างสูง ไม่เช่นนั้นจะมีข้อครหาว่า ค้าสำนวนในกระบวนการยุติธรรม
...
ขอให้ทั้ง พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ช่วยกันระมัดระวังข้อครหาเรื่องสำนวนรั่วไหลด้วย...
สรุปการค้าสำนวนทั้งตำรวจและอัยการยังมีอยู่ และจะมีต่อไป!
"สหบาท"