หลังระดมพ่นนํ้า วิ่งมาราธอนผวา ใส่หน้ากากแข่ง

กรมควบคุมมลพิษโล่ง สภาพอากาศ ส่อแววดีขึ้น หลังระดมสรรพกำลังจาก หลายหน่วยงาน รวมถึง ภาคเอกชนระดมแก้ปัญหาแบบเข้มข้น ทั้งฉีดพ่นละอองน้ำไล่ฝุ่น กวดขันรถควันดำ หยุดก่อสร้าง งดเผา ในที่โล่ง ฯลฯ จนค่าฝุ่นไม่เกินมาตรฐาน ต่างจากใน ส่วนภูมิภาค หลายพื้นที่กลับเดี้ยง หลังพบไฟไหม้ป่า-ลอบเผาพื้นที่การเกษตร โดย “ด่านซ้าย” อ่วมควันไฟ เต็มฟ้า ส่วนที่ “แม่สอด” ต้องระดมเจ้าหน้าที่ดับไฟ

หลังจากหน่วยงานรัฐผนึกภาคเอกชนระดมฉีดพ่นละอองน้ำและชะล้างถนนในพื้นที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน รวมถึงใช้มาตรการต่างๆในการลดต้นเหตุของฝุ่นละออง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลอดวันที่ 3 ก.พ. คน กทม.และปริมณฑล เริ่มมีอากาศดีๆให้หายใจบ้าง โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองใน กทม. และ ปริมณฑล ตั้งแต่เช้าจดเย็นอยู่ในเกณฑ์ดีขึ้น ฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ลดลงจนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) ทุกพื้นที่ คุณภาพ อากาศอยู่ในระดับคุณภาพดีมากถึงคุณภาพปานกลาง มีค่าฝุ่นละอองอยู่ที่ 24-46 มคก./ลบ.ม.

...

สำหรับการดำเนินงาน กทม.ร่วมกับโรงเรียนการบินกรุงเทพมหานคร นำเครื่องบินเล็กโปรยละอองน้ำ บริเวณถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน โดยขึ้นบินทีละ 1 ลำ ทุก 1 ชั่วโมง บินสูงที่ระดับ 1,000 ฟีต บรรจุน้ำครั้งละ 100 ลิตร โปรยน้ำได้ประมาณ 30 นาทีต่อรอบบิน โดยเช้าวันที่ 3 ก.พ.ใช้เครื่องบิน 8 ลำ บิน 12-15 เที่ยวบิน นอกจากนี้ยังมีปฏิบัติการฉีดน้ำเพื่อลด PM 2.5 บริเวณถนนพระราม 2 เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. เวลา 22.00 น. มีรถบรรทุกน้ำเข้าร่วมปฏิบัติการทั้งสิ้น 82 คัน เจ้าหน้าที่ 164 คน โดยการประปาสาขาตากสิน สนับสนุนเติมน้ำประปาตลอด 24 ชม. และมีหน่วยงานอื่นร่วมสนับสนุนอุปกรณ์เจ้าหน้าที่ เช่น แขวงทางหลวงธนบุรี กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม กรมชลประทาน ร้อย รส.ส.1พัน.101 1 คัน กองร้อยรักษาความสงบกองพันทหารม้าที่ 19 กองพลทหารราบที่ 9

ขณะที่กรมการขนส่งทางบก ตรวจวัดควันดำจากท่อไอเสียรถยนต์ทุกประเภท เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ภายใต้นโยบาย วัน ทรานสปอร์ต ปลอดฝุ่น PM 2.5 โดยมีการตั้งจุดตรวจควันดำเพิ่มเติม รวม 31 จุด ใน 15 จังหวัดรอยต่อบนถนนสายหลักและสายรองทุกเส้นทางที่มีรถบรรทุกและรถโดยสารมุ่งหน้าเข้า กทม. เพื่อควบคุมรถที่มีค่าควันดำเกินมาตรฐานจากต่างจังหวัดไม่ให้เข้าสู่ กทม. และให้ดำเนินการต่อเนื่องทุกวัน หากพบรถที่มีค่าควันดำเกินร้อยละ 45 ที่กฎหมายกำหนด ดำเนินการเปรียบเทียบปรับ 5,000 บาท และพ่นข้อความ “ห้ามใช้” ทันที ส่วนรถที่ตรวจพบค่าควันดำ ระหว่างร้อยละ 30-45 ให้ผู้ตรวจการออกใบเตือน เพื่อให้เจ้าของรถดำเนินการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนถึงรอบชำระภาษีรถ และได้เพิ่มจุดตรวจรถควันดำ 15 เส้นทาง เข้าออก กทม.ทั้งขาเข้าและขาออกทุกวัน

ด้านกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ขึ้นบิน ปฏิบัติการ 2 ชุด ที่หน่วยปฏิบัติการนครสวรรค์ และระยอง ผลปฏิบัติการ มีฝนตกเล็กน้อยในพื้นที่ กทม. (จตุจักร พญาไท ลาดพร้าว) ขณะที่กระทรวงศึกษา-ธิการ ให้สถาบันอาชีวศึกษาตั้งศูนย์อาชีวะเพื่อชุมชนซ่อมเครื่องยนต์ และแจกหน้ากากอนามัย ส่วนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ติดตั้งระบบสเปรย์น้ำลดฝุ่นละอองบริเวณโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงรามคำแหง-หัวหมาก ที่สถานีการกีฬาแห่งประเทศไทย และจะทยอยติดตั้งให้ครบทุกสถานีที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง

ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษคาดการณ์สถานการณ์จากแบบจำลองปริมาณ PM 2.5 ของ คพ. ว่าในวันที่ 4 ก.พ. ปริมาณ PM 2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) ทุกพื้นที่ จากการดำเนินมาตรการเพื่อลดฝุ่นละอองของหน่วยงานต่างๆอย่างเข้มข้น จะส่งผลให้ปริมาณฝุ่นละอองลดลงได้

ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดหมายลักษณะอากาศในสัปดาห์นี้ว่า ในช่วงวันที่ 5-9 ก.พ.ประเทศไทย ตอนบนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 2-4 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้า คะนองบางแห่งตลอดช่วง สำหรับบริเวณกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลจะมีฝนฟ้าคะนองและมีลมแรงขึ้น ดังนั้นจะทำให้ช่วยลดฝุ่นละอองและมลพิษในอากาศลงได้ ส่วนบริเวณประเทศไทยตอนบนขอให้ประชาชนระมัดระวังสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกและมีหมอกหนาไว้ด้วย

...

ส่วนกรณีหลายคนกังวลถึงการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอน “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน 2019” ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และภาคเอกชน ร่วมจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 3 ก.พ.หลังคุณภาพอากาศในหลายพื้นที่ของ กทม.มีปริมาณฝุ่นละออง รวมถึงฝุ่น PM 2.5 หนาแน่นมาอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเวลาแข่งขัน 1 ชั่วโมง มีการวัดคุณภาพอากาศ พบอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น ทำให้เหล่านักวิ่งทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่เข้าร่วมแข่งขัน รายการมาราธอน 42.195 กิโลเมตร และฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กิโลเมตร กว่า 1.5 หมื่นคน มีความมั่นใจ ออกวิ่งตามปกติในเวลา 03.00 น. โดยไม่มีผู้ใส่หน้ากากอนามัยมาร่วมวิ่ง ทั้งที่ต้องวิ่งไปตามเส้นทางที่เคยมีค่าฝุ่นหนาแน่น คือจากราชมังคลากีฬาสถาน ถนนรามคำแหง ถนนพระราม 9 ผ่านแยกดินแดง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เข้าสู่ถนนราชวิถี พระราม 5 สวรรคโลก ศรีอยุธยา ราชดำเนินนอก เข้าเส้นชัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยนักวิ่งต่างให้เหตุผลว่าการใส่หน้ากากอนามัยเป็นอุปสรรคต่อจังหวะหายใจระหว่างการแข่งขัน และอากาศก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าทุกวัน

ต่างจากที่บริเวณหน้าลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ถนนราชดำเนินกลาง ซึ่งจัดแข่งอีก 2 รายการย่อย ได้แก่ การแข่งวิ่งมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร และแข่งวิ่งระยะสั้น 3.5 กิโลเมตร มีนักวิ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศกว่า 12,000 คน เข้าร่วมแข่งขัน พบว่ามีผู้ใส่หน้ากากอนามัยมาร่วมวิ่ง และในจำนวนนี้ยังวิ่งไปพร้อมถือป้ายเรียกร้อง ขอคืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับคนกรุงเทพฯ กำจัดหมอกฝุ่นให้หมดไปโดยเร็วด้วย

วันเดียวกัน บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด แจ้งว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีค่าเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด มีความห่วงใย และร่วมแก้ไข วิกฤติคุณภาพอากาศ ด้วยการหยุดก่อสร้างในทุกไซต์งาน ได้แก่ เดอะมอลล์ รามคำแหง, แบงค็อก มอลล์ (บางนา), ดิ เอ็มสเฟียร์ (สุขุมวิท เขตคลองเตย) และสาขาที่กำลังทำการปรับปรุง ได้แก่ สาขางามวงศ์วาน และบางแค พร้อมจัด Big Cleaning Day ทุกไซต์งาน รวมถึงเดอะมอลล์ทุกสาขา เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ โดยร่วมกันทำความสะอาดห้างและบริเวณโดยรอบครั้งใหญ่ ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 นอกจากนี้ ยังเพิ่มมาตรการฉีดพ่นละอองน้ำ ทุกวัน ทุกสาขา เวลา 08.00 น. และทำความสะอาดหน้าศูนย์การค้าฯ ทุกสาขา เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองที่กระจายอยู่ในอากาศ และนอกจากนี้ ยังได้มอบหน้ากากอนามัย N95 ให้กับพนักงานที่ต้องปฏิบัติหน้าที่สัมผัสฝุ่นโดยตรง เพื่อใช้ป้องกันฝุ่นขณะปฏิบัติหน้าที่

...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด นักวิชาการชื่อดัง ได้โพสต์ความคิดเห็นผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงวิกฤติฝุ่นพิษใน กทม. และปริมณฑลว่า รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณมาแจกหน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 ให้แก่เด็กนักเรียนและผู้มีรายได้น้อย น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าให้ประชาชนกลุ่มนี้ต้องหาหนทางดูแลป้องกันตนเองให้พ้นอันตรายจากฝุ่น PM 2.5 อย่างเป็นไปตามบุญตามกรรม เนื่องจากมีรายงานการศึกษาของกรมควบคุมมลพิษระบุไว้ ในช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงมีนาคมของทุกปีย้อนหลังไป 8 ปี ตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2561 สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ในเกณฑ์เกินมาตรฐานมาโดยตลอด ประกอบกับหากในช่วงใดที่มีอุณหภูมิต่ำ ความกดอากาศสูง ท้องฟ้าปิด สภาพอากาศสงบนิ่งไม่กระจายตัว จะเกิดการสะสมของฝุ่น PM 2.5 ทำให้ค่าของฝุ่น PM 2.5 สูงกว่าปกติ เช่นในปีนี้ที่มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกินเกณฑ์มาตรฐานเช่นเดียวกับปีที่แล้ว แต่สถานการณ์รุนแรงกว่าปีที่ผ่านๆมา

สำหรับสถานการณ์หมอกควันในต่างจังหวัด พบว่าที่ จ.เลย ตำรวจ สภ.ด่านซ้าย รับแจ้งว่ามีไฟป่า ลุกไหม้เป็นวงกว้างใกล้บ้านเรือนประชาชน ที่บ้านหนามแท่ง ต.ด่านซ้าย จึงประสานรถดับเพลิงเทศบาลศรีสองรัก พร้อมกู้ภัยสว่างคีรีธรรม จุดด่านซ้าย ไปฉีดน้ำสกัด แต่เป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากไฟป่าลุกลามอย่างรวดเร็วเป็นบริเวณกว้างและมีกระแสลมแรง ควันไฟหนาทึบในหลุบเขาสลับสับซ้อน การเดินทางเข้าไปด้วยความลำบาก พบว่ามีร้านกาแฟสดถูกไฟไหม้วอด เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำสกัดไม่ให้ไฟลุกลามไปถึงบ้านเรือนประชาชน ยังไม่สามารถดับไฟได้ ต้องปล่อยไฟลุกลามเข้าไปในป่าจนกว่าจะสงบเอง ขณะที่ท้องฟ้าในเขตเทศบาลตำบลด่านซ้ายถูกปกคลุมไปด้วยหมอกและควันไฟ

ส่วนที่ จ.ตาก ค่าฝุ่นละอองบริเวณพื้นที่ชายแดน อ.แม่สอด ยังคงสูงต่อเนื่องเป็นวันที่ 9 โดยคืนที่ผ่านมาเกิดไฟไหม้ป่าในพื้นที่หลังปั๊มน้ำมัน ปตท.แม่ปะ และในเขตป่าสงวนฯ ป่าแม่ละเมา สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศที่แม่สอดวัดค่า PM 2.5 ได้ที่ 71 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่ายังสูง สาเหตุจากการลักลอบเผาพื้นที่การเกษตรทั้งช่วงกลางคืนและกลางวัน หลายหน่วยงานต้องเข้าไปดับไฟ ขณะที่ชาวไทยและชาวเมียนมาในพื้นที่จำนวนมากต่างพากันหนีฝุ่นพิษไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่น้ำตกพาเจริญ ในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

...

ที่สวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผวจ.อุบลราชธานี ไปตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทดลองฉีดน้ำกำจัดฝุ่นเพื่อเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ และบุคลากร ตามแผนควบคุมและป้องกันปัญหามลภาวะของจังหวัดและกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วม นายสฤษดิ์กล่าวว่า ขณะนี้ทุกพื้นที่ของ จ.อุบลราชธานี ยังไม่มีปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 แต่ยังต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือหากเกิดปัญหา เบื้องต้นได้ตรวจสภาพรถของหน่วยงานราชการ ส่วนรถของประชาชนหากตรวจพบค่าควันดำเกินมาตรฐานจะไม่ปรับ แต่จะให้หยุดใช้รถและนำไปแก้ไขกลับมาตรวจสภาพใหม่ ด้านการเฝ้าระวังได้ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม พื้นที่ที่มีสภาพจราจรหนาแน่น รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนไม่เผาตอซังข้าว พื้นที่เกษตรกรรม และให้มีส่วนร่วมป้องกันไฟป่า