“แผลเฉียบพลัน” คือ...แผลที่เกิดขึ้นทันที บาดแผลจะหายเร็ว ส่วน “แผลเรื้อรัง” คือ...บาดแผลที่ไม่สามารถดำเนินตามกระบวนการหายของแผลตามปกติ...แผลจะอยู่ในภาวะมีการอักเสบ แต่ไม่มีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่...รักษาแล้วไม่หายภายใน 4 สัปดาห์

น่าสนใจว่า...บาดแผลที่พบในปัจจุบันมีทั้งแผลเรื้อรังและแผลเฉียบพลัน สำหรับแผลเฉียบพลันจะหายได้เร็ว ใช้เวลารักษาไม่นาน แต่สำหรับบาดแผลเรื้อรังเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ เพราะการรักษาอย่างถูกวิธีมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้แผลเรื้อรังหายได้เร็วยิ่งขึ้น

นพ.อรรถ นิติพน ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ บอกว่า กระบวนการหายของแผลเรื้อรังต่างจากแผลเฉียบพลัน เช่น หกล้มถลอก โดนมีดบาด กระบวนการหายจะเรียบง่าย แต่แผลเรื้อรังกระบวนการหายจะเริ่มมาจากแผลเฉียบพลันเสร็จแล้วอยู่ในภาวะที่อักเสบต่อไป

แบ่งออกเป็น 4 ระยะ...ระยะที่ 1 ห้ามเลือดให้เลือดหยุด 1-3 วัน ...ระยะที่ 2 ระยะของการอักเสบไม่เกิน 1 สัปดาห์...ระยะที่ 3 ระยะเสริมสร้างเนื้อเยื่อ 2-3 สัปดาห์...ระยะที่ 4 ระยะปรับสภาพ จะอยู่เป็นปี

...

สำหรับแผลเรื้อรังในกระบวนการหายของแผลจะอยู่ในช่วงของแผลเฉียบพลันระยะที่ 2 คือ ระยะของการอักเสบแล้วไม่ก้าวผ่านไปเป็นระยะเสริมสร้างเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อใหม่ไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการรักษาแผลเรื้อรังจึงยากกว่าแผลเฉียบพลันต้องแก้ไขสภาวะให้ก้าวผ่านระยะที่เป็นแผลอักเสบ

อีกประเด็นสำคัญคือสาเหตุที่พบบ่อยของแผลเรื้อรัง อันดับหนึ่งก็คือ...แผลเบาหวาน โดยเฉพาะแผลที่เท้า ถัดมา...แผลกดทับ...แผลจากหลอดเลือดดำเสื่อม และหลอดเลือดแดงตีบตัน

และ...แผลจากอุบัติเหตุ ที่ได้รับการดูแลไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก

ข้อสำคัญให้รู้ต่อไปอีกว่า การดูแลรักษาแผลเรื้อรังจึงเป็นเรื่องสำคัญ นพ.อรรถ ย้ำว่า การดูแลรักษาแผลเรื้อรังนั้นมีความละเอียดและซับซ้อน ต้องแก้ไขสาเหตุของแผลร่วมด้วย

นอกจากการรักษาความสะอาดและทำแผลอย่างถูกวิธี รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะแล้ว ยังมีเครื่องมือ...เทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยเข้ามาช่วยลดผลกระทบของบาดแผลให้แผลหายได้ในเร็ววัน ซึ่งต้องรักษาโดยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มากด้วยประสบการณ์ เพื่อวินิจฉัยได้ถูกต้องเหมาะสมในแต่ละกรณี

“แผลเบาหวาน ดูแลให้ดีก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน...อย่างที่ทราบกันดีว่าโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่เพียงเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคแทรกซ้อน แต่ยังหมายถึงโอกาสในการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย”...ที่น่าเป็นห่วงคือหากผู้ป่วยเบาหวานมีบาดแผลอาจติดเชื้อลุกลามได้ง่ายและหายยาก จึงควรใส่ใจดูแลอย่าละเลยบาดแผลอย่างเด็ดขาด

“แผลเบาหวานเป็นบาดแผลเรื้อรังที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะมีไขมันที่ไม่ย่อยสลายไปจับกับเส้นเลือด ส่งผลให้เส้นเลือดตีบและแข็งเกิดการอุดตันในที่สุด ทำให้แผลหายยากเพราะไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง นอกจากนี้ เมื่อผู้ป่วยโรคเบาหวานระบบประสาทรับความรู้สึกเสื่อม รับความรู้สึกได้น้อยลงหรือไม่ได้เลย ทำให้เท้าชา ไม่รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสความร้อนหรือเย็น หรือแม้กระทั่งเล็บขบ”

...

จึงทำให้เกิดบาดแผลได้ง่าย เนื่องจากอาการเจ็บที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ต้องระวังการเกิดบาดแผล ดังนั้นบ่อยครั้งที่ผู้ป่วยเบาหวานมีแผล กว่าจะรู้ตัวแผลก็ลุกลามไปมากแล้ว

อีกทั้งการที่ระบบประสาทสั่งการผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เท้าผิดรูป เท้าบิดเบี้ยว เนื้อบริเวณปุ่มกระดูกบางแห่งต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกิดเป็นแผลได้เช่นกัน

แผลเบาหวานมักเกิดที่เท้า?...หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมแผลเบาหวานส่วนใหญ่จึงเกิดที่เท้า เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานมีเส้นเลือดตีบและอาการเสื่อมของระบบประสาทรับความรู้สึกส่วนปลาย ทำให้เกิดอาการชา เมื่อเป็นแผลที่เท้าในช่วงแรกมักไม่รู้สึก

แต่....จะรู้สึกเมื่อแผลรุนแรง ทำให้รักษายาก หายช้า อาจร้ายแรงถึงขั้นตัดเท้า

สำหรับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงแผลเบาหวาน ก็คือผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นแผลเบาหวานเรื้อรังมานาน 5-10 ปี ยิ่งเป็นเบาหวานนานหลายปียิ่งเสี่ยงที่จะเกิดบาดแผล โดยลักษณะจะเป็นแผลที่ต้องเกิดกับผู้ป่วยเบาหวาน...แผลมักเกิดในตำแหน่งปลายมือ ปลายเท้า หรือตำแหน่งรับน้ำหนัก...แผลหายช้าหรือไม่หาย

ย้ำว่า...อันตรายของแผลเบาหวานนั้นคือ ปัญหาเรื้อรังรักษายาก เพราะแผลเบาหวานเป็นแผลเรื้อรัง ถ้าควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดีจะหายยาก...ถัดมา หายช้า เนื่องจากแผลเบาหวานเกิดจากหลอดเลือดแดงตีบ ทำให้เลือดนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายได้ไม่ดี ทำให้แผลขาดเลือดไปเลี้ยง

แผลหายยาก หายช้า หรืออาจไม่หาย

นอกจากนี้ อาจทำให้ ปลายประสาทเสื่อม เกิดจากอาการชา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้ว่าเกิดแผลทำให้แผลลุกลามมากได้ ถึงขั้น...เท้าผิดรูป ร่วมกับผิวแห้งหนาผิดปกติ เกิดหนังหนาๆเป็นก้อนนูนออกมากดเนื้อเยื่อข้างใต้ เรียกว่า “Callus”...หากเท้าผิดรูปบิดเบี้ยว เกิดแรงกดเฉพาะที่จะทำให้เนื้อเยื่อตาย รักษายาก

...

ร้ายยิ่งขึ้นไปอีกลำดับก็คือ มีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม

เนื่องจากเส้นประสาทไม่ดี มีผลต่อต่อมไขมันและต่อมเหงื่อ ทำให้การผลิตและหลั่งไขมันลดลงส่งผลให้ผิวแห้ง แตก เกิดแผลได้ง่าย...เสี่ยงสูญเสียนิ้วและเท้า โดยเฉพาะผู้สูงอายุจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดแผลเรื้อรัง ติดเชื้อรุนแรงมากกว่าคนปกติ เพราะระดับน้ำตาลสูง เส้นเลือดแดงตีบ เลือดไม่ไปเลี้ยง...

“กลไกการต่อสู้กับเชื้อโรคบกพร่อง เสี่ยงต่อการติดเชื้อ อีกทั้งมีโอกาสเกิดเนื้อตายจากเส้นเลือดแดงส่วนปลายตีบนำไปสู่การสูญเสียนิ้วหรือขาได้”

อีกเรื่องแผลๆสุดท้ายที่น่าสนใจก็คือ “แผลจากอุบัติเหตุ” นพ.อรรถ ย้ำว่า การดูแลรักษาบาดแผลที่บาดเจ็บจากความร้อนเพื่อลดความรุนแรงโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าไฟไหม้...ไฟคลอก น้ำร้อนลวก ไฟฟ้าช็อต...ฟ้าผ่า ภยันตรายจากการสูดควันร้อน ภยันตรายจากสารเคมี

บาดแผลไหม้ที่ถือว่าหนักที่สุดคือ แผลไหม้พื้นผิวร่างกายมากกว่า 20%

เรื่องต้องรู้มีว่า...เนื่องจากเนื้อเยื่อที่โดนความร้อนเซลล์จะตายจึงต้องลดความร้อนให้เร็วที่สุดภายใน 15 นาทีแรก เพราะยิ่งลดความร้อนได้เร็วที่สุด เนื้อเยื่อหรือเซลล์อาจจะรอดจากความตายได้ หากเป็นกรณีโดนสารเคมีรุนแรงจะเป็นอันตรายมาก ส่วนใหญ่ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูทันที

...

เป้าหมายการดูแลรักษาแผลไฟไหม้ สำคัญคือ...ควบคุมการไหลของเลือด กำจัดวัสดุแปลกปลอมอันจะเป็นสาเหตุการติดเชื้อ กำจัดเนื้อตายและหนอง ปรับสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อการหายของแผล เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรดด่าง ป้องกันแผลจากอันตราย เช่น การกระแทก เชื้อโรค

“ไม่มีใครอยากได้รับบาดเจ็บในชีวิตประจำวัน แต่หากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดแล้วเกิดบาดแผลรุนแรงในระดับที่ต้องส่งโรงพยาบาล การปฐม พยาบาลเพื่อดูแลแผลเบื้องต้นอย่างถูกวิธีเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น แผลไฟไหม้ แผลน้ำร้อนลวก แผลไฟช็อต แผลฟ้าผ่า แผลจากสารเคมี...”

จำเอาไว้ให้แม่นๆดูแลแผลให้ “ถูก” ก่อนถึงมือ “หมอ” จะช่วยเยียวยาบาดแผลให้ดีขึ้นพร้อมสำหรับการรักษาอย่างถูกวิธีกับแพทย์เฉพาะทางต่อไป.