สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน แม้จะมีแนวคิดมายาวนานตั้งแต่ปี 2511...แต่เอาเข้าจริงกลับเพิ่งเห็นการทำงานเป็นรูปธรรมเมื่อปี 2554 นี่เอง
มีวัตถุประสงค์หลัก จัดซื้อรวบรวมที่ดินจากเจ้าของทั้งภาครัฐและเอกชน มาให้ผู้ไร้ที่ทำกินได้เช่าซื้อ โดยใช้ระบบสหกรณ์เข้ามาช่วยบริหารจัดการให้ชาวบ้านจัดตั้งสหกรณ์ แล้วจัดสรรที่ดินให้แต่ละครัวเรือน เช่าซื้อที่ดินระยะยาวผ่านสหกรณ์ ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกินปีละ 3% ระยะเวลาสูงสุด 30 ปี
ที่ผ่านมาสามารถให้ชาวบ้านมีที่ทำกินในพื้นที่นำร่องไปได้แล้ว 471 ครัวเรือน รวมเนื้อที่กว่า 622 ไร่ ช่วย ให้ชาวบ้านคงสิทธิ ไม่เสียที่ดินทำกินจากการจำนองไปแล้ว 52 ราย เนื้อที่กว่า 400 ไร่
มาถึงปีนี้ถือเป็นช่วงผลัดใบ เปลี่ยนผู้อำนวยการจาก สถิตย์พงษ์ สุดชูเกียรติ มาเป็น ขจรศักดิ์ เจียรธนากุล มีการเดินหน้าจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานให้ครอบคลุม เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น
ข้อเสนอแนะหลักๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดิมๆ ห่วงการแทรกแซงจากภาครัฐ อาจทำให้การทำงานชะงักเหมือนที่ผ่านมา และขอเพิ่มการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน ในการบริหารจัดการทรัพยากรของตัวเอง พร้อมไปกับเพิ่มสัดส่วนให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการบริหารธนาคารที่ดินให้มากขึ้น
ประเด็นน่าสนใจเป็นเรื่อง ที่มาของรายได้ จากแต่เดิมมาจากการสนับสนุนของรัฐ มีการเสนอแนะให้ธนาคารที่ดินสามารถทำธุรกิจควบคู่ไปได้ แต่ต้องมิใช่การแสวงหากำไรจากเกษตรกร และเสนอให้รัฐนำเงินภาษีสุรา ยาสูบ เข้ามาสนับสนุนธนาคารที่ดิน
ที่สำคัญน่าจะเป็นไม่กี่หน่วยงานที่หาญกล้าหนุนให้ภาครัฐขับเคลื่อนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า...ใครครอบครองที่ดินมาก จ่ายภาษีแพง จะได้ยอมปล่อยที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพื่อธนาคารที่ดินจะได้มีโอกาสซื้อมาจัดสรรให้คนไร้ที่ดินได้มากขึ้น
...
เรื่องอื่นๆโอกาสเป็นไปได้ยังพอเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่เรื่องเก็บภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า ดูท่าคงจะยาก เพราะรู้ๆกันอยู่ ที่ดินที่ถือครองกันส่วนใหญ่เป็นของใคร กลุ่มใด อยู่ในสภาฯทั้งนั้น ไม่ว่าจะยุคเลือกตั้ง หรือลากตั้ง.
สะ–เล–เต