สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีคำพิพากษาฎีกาเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับกรณี 

รถหายในระหว่างผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน ปัญหาดังกล่าวย่อมสร้างความทุกข์ใจให้กับผู้เช่าซื้อหลายท่าน ที่อาจจะยังไม่ทราบข้อกฎหมายหรือข้อต่อสู้ของตนเอง ในกรณีที่เหตุสูญหายหรือเหตุโจรกรรม มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อก็ไม่ต้องชำระหนี้ ตามสัญญาเช่าซื้ออีกต่อไป

โดยธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่จะต้องควบคุมสัญญา ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ 2522 มาตรา 35 และประกาศประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ 2543 (ข้อ 4) ดังนั้น ข้อตกลงใด ที่มีลักษณะเอาเปรียบผู้บริโภค หรือทำให้ผู้บริโภคต้องรับภาระหนักเกินกว่าที่คาดหมายได้ ข้อตกลงนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ ไม่สามารถใช้บังคับกับผู้เช่าซื้อได้ วันนี้มีตัวอย่างคำพิพากษามาให้ได้ศึกษา 3 ตัวอย่างครับ 

ค่าเสียหายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าขาดประโยชน์ ค่าทนายความ ค่าติดตามทวงถาม หรือแม้กระทั่งรถสูญหายก็ตาม เดิมตามสัญญาเช่าซื้อจะกำหนดให้ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด แต่ต่อไปนี้ผู้เช่าซื้อสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบดังกล่าวได้ หากความเสียหายหรือความสูญหายนั้น มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้เช่าซื้อ เมื่อทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหาย สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับไป ผู้เช่าซื้อจึงไม่ต้องรับผิดชอบในการชำระค่าเช่าซื้ออีกต่อไป

...

เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 2772 / 2560 ได้วินิจฉัยในประเด็นที่รถหายในระหว่างที่ผ่อนชำระกับสถาบันการเงินไว้น่าสนใจว่า เมื่อทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหาย โดยไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับไป ผู้เช่าซื้อจึงไม่ต้องรับผิดในการชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้ออีกต่อไป

อีกหนึ่งตัวอย่างที่การสูญหายหรือถูกโจรกรรม เกิดจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าของรถเอง เนื่องจากจอดรถ โดยติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้แล้วลงจากรถไปซื้อของ และถูกโจรกรรมรถ ต่อมาเจ้าของรถฟ้องต่อศาลให้บังคับบริษัทรับประกันภัยชดใช้ค่าเสียหาย กรณีนี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในความสูญหายของรถยนต์ เนื่องจากเหตุที่คนร้ายลักรถยนต์เกิดขึ้น เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าของรถเอง

1305/2559 ข้อความว่า พฤติกรรมของโจทก์ที่จอดรถโดยติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้แล้วลงจากรถไปซื้อของ เป็นการขาดความระมัดระวังในการใช้ทรัพย์ หากโจทก์ใช้ความระมัดระวังตามสมควรโดยดับเครื่องยนต์และล็อกประตูรถยนต์ให้เรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าคนร้ายไม่สามารถลักรถยนต์ของโจทก์ไปได้โดยง่าย เหตุที่คนร้ายลักรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้เกิดขึ้น เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดในความสูญหายของรถยนต์ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 897 วรรคหนึ่ง

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ กรณีนี้ ไม่ถือว่าความสูญหายหรือสาเหตุถูกโจรกรรมนั้น เป็นความผิดของเจ้าของรถ แม้ว่าเจ้าของรถจะไม่ได้ล็อกกุญแจประตูรถก็ตาม ยังไม่ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าของรถ แต่หากเสียบกุญแจรถทิ้งไว้ อาจจะถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าของรถได้นะครับ

เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 260/2523

คำว่า "ไม่ได้ล็อกกุญแจรถยนต์" ที่เจ้าพนักงานตำรวจบันทึกไว้หมายความถึงไม่ได้ล็อกกุญแจประตูรถยนต์ ไม่หมายความถึงไม่ได้ดึงกุญแจติดเครื่องยนต์ออก และการที่จอดรถยนต์ไว้ที่ริมถนนลาดพร้าว โดยไม่ได้ล็อกกุญแจประตูรถยนต์ แต่ได้ดึงกุญแจติดเครื่องยนต์ออก และทิ้งรถยนต์ไว้เพียงประมาณ 10 นาที เพื่อไปซื้อของที่ร้านค้าริมถนนลาดพร้าวห่างจากที่จอดราวประมาณ 3 เมตร โดยที่ยังมีผู้คนอยู่ในบริเวณนั้น แล้วรถยนต์ที่เอาประกันไว้ได้หายไป มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย ผู้รับประกันภัยต้องรับผิด

สุดท้ายนี้ ขอให้เจ้าของรถทุกท่านควรระมัดระวังเหตุร้ายด้วยตัวท่านเอง หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่เปลี่ยว ควรล็อกประตูรถ หรือล็อกพวงมาลัยรถ หรือล็อกเกียร์ หรือล็อกเบรก ฯลฯ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับท่านเอง

สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ

Facebook ทนายเจมส์ LK