“การขยายพันธุ์ยางพาราที่นิยมกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะใช้วิธีการติดตาต้นตออายุ 6 เดือน ก่อนจะนำมาเพาะเลี้ยงเป็นยางชำถุงอีก 6 เดือน ถึงจะให้ใบยาง 1 ฉัตร รวมแล้วก่อนจะนำลงปลูกได้ ต้องเสียเวลาอย่างน้อย 1 ปี แต่ตอนนี้เรามีวิธีใหม่ทำได้เร็วแค่ 4 เดือน สามารถลงดินปลูกได้แล้ว แถมยังทำให้ต้นกล้าโตไว น้ำยางที่ออกมามีเปอร์เซ็นต์น้ำยางสูงกว่าแบบเดิม”
ดร.วิทยา พรหมมี หรือ ดร.ปู นักวิชาการเกษตร 8 หัวหน้าวิจัยและผลิตยาง สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เผยถึงเทคนิคการติดตายางแบบใหม่ที่ได้มาจากโครงการวิจัยการติดตายางพาราอายุ 1 เดือน ที่เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2556 ในสถานีวิจัยยางฉะเชิงเทรา
“เพราะเราต้องการลดระยะเวลาในการ ขยายพันธุ์ให้สั้นลง เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้เกษตรกร และต้องการพัฒนาต้นยางให้มีการเจริญเติบโตให้ผลผลิตดีเพื่อรายได้ให้เกษตรกรก็จะเพิ่มขึ้น ด้วยการใช้เทคนิคติดตาต้นตอที่มีอายุแค่เพียง 1 เดือน”
...
เทคนิคพิเศษการติดตาต้นตอที่มีขนาดเล็ก ดร.ปู อธิบายว่า คนติดตาจะต้องมีการฝึกการพัฒนาฝีมือรวมทั้งต้องมีสภาพแวดล้อมต้องเหมาะสมด้วย ถ้าสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ขณะปฏิบัติงาน ความสำเร็จในการขยายพันธุ์ยางจะต่ำลง
ปกติการติดตายางที่อายุ 6 เดือน จะได้ผลผลิตยางชำถุง 90%...แต่การติดตากับต้นเล็กอายุ 1 เดือน ถ้าไม่มีความชำนาญ ทำให้ความสำเร็จจะอยู่ 30% ต่อมาได้พัฒนาฝีมือและเทคนิคเพิ่มขึ้นจะสำเร็จได้ถึง 70%
ดร.วิทยา เผยว่า ปัจจุบันต้นยางติดตา 1 เดือน ได้ทดลองปลูกลงแปลงแล้ว 4 ปี และผลจากการเก็บข้อมูลสรีระของต้นยางเปรียบเทียบทางวิทยาศาสตร์ พบว่า ต้นยางตั้งตัวไวเจริญเติบโตได้ดี ลำต้นขนาดเท่ากับยางติดตา 6 เดือน...
เมื่อถอนต้นขึ้นมาตรวจวิเคราะห์ ระบบรากค่อนข้างสมบูรณ์และแข็งแรง มีระบบรากแก้ว ไม่ขด ไม่งอ ไม่ขาด ส่งผลให้รากสามารถชอนไชไปหาอาหารเพื่อส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆของต้นยางได้ดี ประสิทธิภาพของการให้น้ำยางสูงกว่า
และทดลองกรีดยาง 10 ครั้งติดต่อกัน แล้วนำผลผลิตน้ำยางที่ได้มาตรวจสอบทางวิชาการเปรียบเทียบกัน ระหว่างต้นยางที่ขยายพันธุ์ด้วยต้นตอ 1 เดือนกับต้นตอ 6 เดือน ปรากฏว่า ต้นตอ 1 เดือน ให้ผลผลิตเปอร์เซ็นต์น้ำยางแห้ง 117 กรัม สูงกว่าต้นตอ 6 เดือน ที่ให้ผลผลิตแค่ 115 กรัม
...
ข้อดีที่สุด คือ ลดต้นทุนในการเตรียมต้นยางชำถุง ลดระยะเวลาดูแลรักษาใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืช ลดค่าจ้างแรงงาน ผลสำเร็จของงานวิจัยชิ้นนี้ กยท.เตรียมที่จะนำไปถ่ายทอดให้กับเกษตรกรต่อไปในอนาคต.
ไชยรัตน์ ส้มฉุน