เปิดความในใจ 11 สภาวิชาชีพเดินหน้าขอคุมเข้มหลักสูตรเพื่อคุณภาพ
“สมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย”
ปฏิบัติการรวมตัวกันของ 11 สภาวิชาชีพ เพื่อออกโรงคัดค้าน มาตรา 64, 65, 66 ในร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา พ.ศ. ...ซึ่งเพิ่งผ่านมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ไปหมาดๆ โดยขอให้มีการตัดทั้ง 3 มาตรานี้ ออกจากร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา ที่เสนอโดยกระทรวงศึกษาธิการ
และนี่ไม่ใช่การรวมตัวครั้งแรกของ สมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย แพทยสภา, สภาการพยาบาล, สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์, สภาเภสัชกรรม, ทันตแพทยสภา, สัตวแพทยสภา, สภาเทคนิคการแพทย์, สภากายภาพบำบัด, สภาวิศวกร, สภาสถาปนิก, สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ต่อการเรียกร้องให้มีการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา ซึ่งกว่า 1 ปีที่ผ่านมา สมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย ได้ยื่นข้อเสนอ ข้อเรียกร้องต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา โดยตลอด ด้วยการรวมพลังกันยื่นเรื่องถึงทั้งกระทรวงศึกษาธิการ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี รวมถึงคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.)

...
โดย 3 มาตราสำคัญที่สมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้มีตัดออก โดยสรุป คือ
มาตรา 64 ระบุว่า “ให้สภาวิชาชีพมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นประกอบการจัดทำมาตรฐาน หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพนั้น เพื่อกำหนดคุณสมบัติที่พึงประสงค์ของวิชาชีพนั้นได้ แต่มิให้มีอำนาจในการรับรองหรือกำหนดการจัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาที่ เกี่ยวข้องกับสภาวิชาชีพนั้นของสถาบันอุดมศึกษา หรือสร้างภาระอื่นใดให้กับสถาบันอุดมศึกษา
สภาวิชาชีพสามารถจัดการประเมินความรู้ ทักษะ และสมรรถนะในการประกอบวิชาชีพนั้นแก่ผู้ สำเร็จการศึกษาเพื่อประกอบอาชีพที่สภาวิชาชีพนั้นควบคุมอยู่ได้ แต่จะจัดการศึกษาซ้ำซ้อนกับการศึกษาที่สถาบันอุดมศึกษาจัดอยู่มิได้
มาตรา 65 ระบุว่า “สภาวิชาชีพจะออกข้อบังคับหรือหลัก เกณฑ์เพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพ โดยมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติหรือก้าวก่ายการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษามิได้”
มาตรา 66 ระบุว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการการอุดมศึกษาเห็นว่าสภาวิชาชีพใดฝ่าฝืนมาตรา 64 วรรคสอง หรือ มาตรา65 ให้คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษาแจ้งให้สภาวิชาชีพทราบและให้สภาวิชาชีพปฏิบัติตามนั้น”
นายทัศไนย ไชยแขวง อุปนายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นตัวแทน 11 สภาวิชาชีพ สรุปผลกระทบ 3 มาตรา ข้างต้นว่า “บางมาตรามีผลกระทบต่อสังคม โดยตรงที่สุดคือ นักศึกษาที่มาเรียนและจบการศึกษาในสาขาวิชาชีพนั้นๆ อาจมีปัญหาเรื่องการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เพราะเดิมสภาวิชาชีพมีหน้าที่เข้าไปดูแลให้คำแนะนำสถาบันอุดมศึกษาตั้งแต่ต้นน้ำคือ การจัดการเรียนการสอนให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานของสภาวิชาชีพซึ่งเป็นเกณฑ์ที่อิงกับสภาวิชาชีพระดับสากล อาทิ คุณวุฒิอาจารย์ สัดส่วนอาจารย์ต่อนิสิต นักศึกษา จำนวนอุปกรณ์ต่อผู้เรียน คุณภาพของอุปกรณ์ โดยเฉพาะอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีผลกระทบต่อชีวิตประชาชน เป็นต้น โดยจะเป็นการรับรองหลักสูตรหรือรับรองสถาบัน และมีหน้าที่จัดการสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ รวมทั้งควบคุมจรรยาบรรณตลอดจนถอดถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพนั้นๆ เพื่อรักษามาตรฐานจริยธรรมของวิชาชีพ แต่ร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา พ.ศ. ... กำหนดให้สภาวิชาชีพทำหน้าที่เพียงจัดสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเท่านั้น ซึ่ง หากสภาวิชาชีพไม่ได้ดูแลตั้งแต่ต้นก็น่าเป็นห่วงว่าผู้เรียนจะเรียนไม่ครบตามเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อสอบขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ซึ่งจะทำให้เสียเงินและเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ส่งผลให้คุณภาพมาตรฐานของผู้ประกอบวิชาชีพต่ำลง ที่สำคัญเป็นการทำลายความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนที่มีต่อวิชาชีพนั้น”

ขณะที่ ผศ.ทพ.ไพศาล กังวลกิจ นายกทันตแพทยสภา ระบุลงไปในรายละเอียดถึงผลกระทบของสาขาวิชาชีพด้านการแพทย์ พยาบาลและสาธารณสุขว่า “ถ้าให้สภาวิชาชีพดูแลปลายน้ำ คือ จัดสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเท่านั้น โดยเฉพาะสาขาทางการแพทย์ที่มีฝึกปฏิบัติการผ่าตัด จำเป็นที่สภาวิชาชีพซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญโดยตรงไปดูแลตั้งแต่ในชั้นเรียน ก็น่าเป็นห่วงว่า เราจะได้คนที่ไม่มีคุณภาพเล็ดลอดออกไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง อาจเกิดผู้ประกอบวิชาชีพที่ไม่มีใบอนุญาตแอบแฝงและเกิดการประกอบอาชีพผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาสภาวิชาชีพยืนยันว่า ไม่เคยก้าวก่ายสถาบันอุดมศึกษา เราร่วมมือจัดการศึกษาด้วยดี ไม่เคยมีปัญหา”
ขณะที่ฝ่ายสถาบันอุดมศึกษา ก็ระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า สภาวิชาชีพไม่ค่อยมีความยืดหยุ่น ทำให้มหาวิทยาลัยปรับหลักสูตรไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก ส่งผลกระทบต่อคุณภาพผู้เรียนเช่นกัน

...
และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ล่าสุด นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ และ ศ.นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ ได้ตอบรับข้อเสนอของ 11 สภาวิชาชีพ โดยกระทรวงศึกษาธิการจะทำเรื่องถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้ถอดในส่วนของ 3 มาตรา ที่ 11 วิชาชีพกังวลออก
“ทีมการศึกษา” มองว่า ทุกฝ่ายต่างมีเป้าหมายเดียวกัน คือ “คุณภาพผู้เรียน” เป็นตัวตั้ง เพียงแต่อาจจะมีวิธีการมองปัญหาและการจัดการที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเปิดอกพูดคุยกันอย่างจริงใจ ทั้งเปิดใจรับฟังปัญหา ยอมรับในความเห็นของกันและกัน ที่สำคัญต้องร่วมมือกันแก้ไขจุดบอด โดยยึดประโยชน์ของนิสิตนักศึกษา ประชาชน อย่างที่ประกาศไว้
เพื่อนำมาซึ่งคำตอบสุดท้าย คือ การยึด “ประโยชน์ของผู้เรียน” เป็นหัวใจสำคัญ.
ทีมการศึกษา