คนเมืองกาญจน์ยังไม่พ้นวิกฤติ หลังเขื่อนวชิราลงกรณเร่งระบายน้ำ ประกอบกับฝนตกหนัก ทำให้น้ำเอ่อล้นแควน้อยเข้าท่วมโรงแรม รีสอร์ต และแหล่งท่องเที่ยว ผอ.เขื่อนเชิญชาวบ้านเข้าพบเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ เช่นเดียวกับปราจีนบุรี หลายพื้นที่ยังจมใต้น้ำ ต้องนั่งเรือแทนรถ สทนช.เตือน 2 จังหวัด บึงกาฬ-หนองคาย เตรียมรับมือน้ำท่วมหนักในอีก 1-3 วันข้างหน้า หลังแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ฝนที่ตกหนักประกอบกับการเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนต่างๆส่งผลให้หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมขัง โดยเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ จ.กาญจนบุรี ภายหลังเขื่อนวชิราลงกรณเพิ่มการระบายน้ำ ประกอบกับในพื้นที่อ.สังขละบุรี อ.ทองผาภูมิ อ.ไทรโยค มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำในแม่น้ำแควน้อยล้นตลิ่งเข้าท่วมตลอดทั้งสาย โรงแรม รีสอร์ต แพพัก แพล่อง ได้รับผลกระทบน้ำเข้าท่วมหลายแห่ง นายไววิทย์ แสงพานิชย์ ผอ.เขื่อนวชิราลงกรณ ออกประกาศเชิญชาวบ้านเข้ารับฟังการชี้แจงการบริหารจัดการน้ำในวันที่ 3 ก.ย. ที่เขื่อนวชิราลงกรณ เช่นเดียวกับจ.ปราจีนบุรี น้ำยังคงท่วมในหลายพื้นที่เช่นกัน โดย เฉพาะในชุมชนตลาดเก่า เทศบาลตำบลกบินทร์ อ.กบินทร์บุรี ยังมีน้ำท่วมสูง ชาวบ้านยังต้องนั่งเรือแทนรถในการสัญจรไปมา ส่วน อ.เมือง ปริมาณน้ำยังต่ำกว่าตลิ่ง 0.65 เมตร เทศบาลเมืองปราจีนบุรี ร่วมกับชลประทานติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 10 เครื่อง เตรียมป้องกันน้ำเข้าท่วมพื้นที่เขตเศรษฐกิจ

...

ทางด้าน จ.บึงกาฬ ระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ไหลผ่าน อ.ปากคาด และ อ.เมืองบึงกาฬ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงเล็กน้อยก็จะล้นตลิ่ง ส่งผลให้น้ำในลำห้วยต่างๆไม่สามารถระบายลงสู่แม่น้ำโขงได้เอ่อเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรเสียหายเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะนาข้าวของนายประสาน แก้วจำปา อายุ 60 ปี หมู่ 2 ต.วิศิษฐ์ อ.เมืองบึงกาฬ 97 ไร่ มีสภาพจมอยู่ใต้น้ำมานานกว่า 3 สัปดาห์แล้ว ขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเตือนเรือโดยสารข้ามฟากไทย-ลาว ให้ระมัดระวังในการเดินเรือ หลังน้ำโขงมีปริมาณสูงและไหลเชี่ยวกราก ล่าสุดพื้นที่การเกษตรเสียหายแล้วกว่า 59,081 ไร่ เดือดร้อน 8,038 ครัวเรือน 29,439 คน เช่นเดียวกับ จ.มุกดาหาร ระดับน้ำในแม่น้ำโขงยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง วัดที่ศูนย์อุทกวิทยาที่ 3 มุกดาหาร ระดับน้ำ 12.92 เมตร สูงกว่าจุดวิกฤติ 42 เซนติเมตร นายไพฑูรย์ รักษ์ประเทศ ผวจ.มุกดาหาร สั่งการให้ 3 อำเภอ ซึ่งมีพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขงเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง พร้อมอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัยได้ในทันที

จ.หนองคาย นายรณชัย จิตรวิเศษ ผวจ.หนองคาย เรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังพบว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นกว่า 1 เมตร วัดระดับน้ำที่ส่วนอุทกวิทยาหนองคาย 11.88 เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง 32 เซนติเมตร สาเหตุเกิดจากฝนตกหนักในพื้นที่ ประกอบกับน้ำทาง ตอนเหนือทั้งจากหลวงพระบางและเชียงคาน ไหลมาสมทบ คาดการณ์กันว่าในวันที่ 3 ก.ย. ระดับน้ำโขงอาจเพิ่มสูงถึง 13.78 เมตร จะทำให้ล้นตลิ่งเข้าท่วมเขตเศรษฐกิจในเทศบาลเมืองหนองคาย พร้อมสั่งการให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพร้อมช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งประสานชลประทานหนองคายนำเครื่องสูบน้ำมาติดตั้งเพิ่มสมทบกับเครื่องสูบน้ำของเทศบาลเมืองหนองคายเตรียมพร้อมรับมือ เช่นเดียวกับ จ.กาฬสินธุ์ เจ้าหน้าที่ยังคงเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนลำปาว ส่งผลให้น้ำในลำน้ำปาวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเข้าท่วมพื้นที่เกษตรใน อ.กมลาไสย เสียหายเป็นบริเวณกว้าง ส่วน จ.นครพนม น้ำโขงยังอยู่ในระดับวิกฤติ ก่อนท่วมบ้านเรือนในพื้นที่ ต.น้ำก่ำ อ.ธาตุพนม เสียหาย 20 หลัง พืชผลทางการเกษตรจมอยู่ใต้น้ำนับพันไร่

นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ เปิดเผยว่า ฝนที่ตกต่อเนื่องในพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยและตกหนักใน สปป.ลาว ประกอบกับเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ใน สปป.ลาว อาทิ เขื่อนน้ำงึม เร่งระบายน้ำปริมาณมากลงสู่แม่น้ำโขง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ จ.หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร และอุบลราชธานี โดยเฉพาะ จ.หนองคาย และบึงกาฬ น้ำในแม่น้ำโขงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดสูงกว่าตลิ่งภายใน 1-3 วัน จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังติดตามอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมแผนเผชิญเหตุ ประกาศแจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่รับทราบ ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงน้ำท่วมจากการระบายน้ำจากเขื่อน ได้แก่ แม่น้ำเพชรบุรี บริเวณ อ.แก่งกระจาน อ.ท่ายาง อ.บ้านลาด อ.เมือง อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ลำน้ำก่ำ ลำน้ำสงคราม ลำน้ำอูน แม่น้ำแควน้อย แม่น้ำแควใหญ่ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า อิทธิพลของพายุโซนร้อน “เบบินคา” และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งแต่วันที่ 17 ส.ค.-1 ก.ย.2561 ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และดินถล่มในพื้นที่ 18 จังหวัด ประกอบด้วย น่าน, เชียงราย, ลำปาง, พะเยา, เชียงใหม่, แม่ฮ่องสอน, หนองคาย, นครพนม, บึงกาฬ, เพชรบุรี, สกลนคร, ลพบุรี, นครนายก, ชัยภูมิ, เพชรบุรี, พิจิตร, กาฬสินธุ์ และอุบลราชธานี ประชาชนได้รับผลกระทบ 162,711 คน มีผู้เสียชีวิต 4 คน สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 10 จังหวัด และยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 8 จังหวัด ได้แก่นครพนม บึงกาฬ สกลนคร เพชรบุรี นครนายก ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง แจกจ่ายถุงยังชีพ และเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นแล้ว

...

กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ในช่วงวันที่ 1-2 ก.ย. ร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศเมียนมา ประเทศลาว และเวียดนามตอนบนมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังอ่อน ทำให้บริเวณประเทศไทยมีปริมาณฝนลดลง ส่วนในช่วงวันที่ 3-7 ก.ย. ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ดังนั้น ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกระวังผลกระทบจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่มไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเล อันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังปานกลาง