สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีข่าวที่น่าสนใจหลายข่าวครับ แต่ข่าวที่น่าสนใจ และมีแฟนเพจเข้ามาสอบถามในเพจทนายเจมส์เป็นจำนวนมาก ก็จะเป็นเรื่องการอยู่กินฉันสามีภรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และทรัพย์สินใส่ชื่อสามีหรือภรรยาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่เพียงฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จะสามารถฟ้อง เพื่อให้ได้มา ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว ตามสิทธิ์ของตนได้หรือไม่ เพียงใด

กรณีที่สามีภรรยาจดทะเบียนสมรสกันตามที่กฎหมายกำหนด ทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสจะเรียกว่า สินสมรส ส่วนกรณีที่สามีภริยาอยู่กินกันฉันสามีภรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันจะเรียกว่า กรรมสิทธิ์ร่วม

ดังนั้น แม้ว่าทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส จะใส่ชื่อสามีหรือภริยาแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ตาม อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็สามารถยื่นคำฟ้องต่อศาลได้ เพื่อบังคับให้อีกฝ่ายแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ตนได้กึ่งหนึ่ง

มีกรณีศึกษาที่เคยมีข้อพิพาทกัน จนต้องนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกามาแล้ว เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 4355 / 2551 สามีภรรยาอยู่กินกัน โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส และมีทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่กินกันฉันสามีภรรยาดังกล่าว โดยใส่ชื่อสามีหรือภรรยาแต่เพียงฝ่ายเดียว

ต่อมาสามีหรือภรรยาที่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น ได้ถึงแก่ความตาย อีกฝ่ายหนึ่งจึงยื่นคำร้องขอจัดการมรดก โดยอ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินของเจ้ามรดก ปรากฏว่าบิดาหรือมารดาของเจ้ามรดกได้ยื่นคำร้องคัดค้านการยื่นคำร้องขอจัดการมรดกดังกล่าว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอจัดการมรดกของผู้ร้อง และยกคำค้านของผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

...

ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ตั้งผู้คัดค้าน เป็นผู้จัดการมรดก โดยให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาวินิจว่า ตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีส่วนได้เสียในรถยนต์พิพาท ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกผู้ตายหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อที่ผู้ร้องเบิกความอ้างว่าผู้ร้องมีส่วนร่วมกับผู้ตายออกเงินซื้อรถยนต์พิพาทจะรับฟังไม่ได้ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยก็ตาม แต่ก็ได้ความว่าผู้ร้องแต่งงานอยู่กินฉันสามีภริยาผู้ตายเมื่อปี 2535 และมีบุตรด้วยกัน 2 คน ระหว่างที่อยู่กินด้วยกันผู้ร้องทำงานอยู่ที่บริษัท เจ.วี.ซี. จำกัด ส่วนผู้ตายมีอาชีพทำเครื่องไฟ

กรณีจึงถือได้ว่าผู้ร้องและผู้ตายร่วมกันทำมาหากินและมีเจตนาเป็นเจ้าของในทรัพย์ที่หามาได้ระหว่างที่อยู่กินด้วยกัน เมื่อผู้ตายได้รถยนต์พิพาทมาในระหว่างที่อยู่กินกับผู้ร้อง ผู้ร้องย่อมมีส่วนเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทด้วยในฐานะเจ้าของร่วม ผู้ร้องจึงมีส่วนได้เสียในรถยนต์ดังกล่าว ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายและมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย

จากกรณีศึกษานี้ จะเห็นได้ว่า การที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อนตายนั้น จะสร้างปัญหาให้กับสามีหรือภรรยาหรือบิดามารดาของท่านเอง รวมไปถึงเป็นการสร้างความบาดหมางให้กับครอบครัวของท่านด้วย โดยเฉพาะกรณีที่อยู่กินฉันสามีภรรยา โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและไม่มีบุตร จะทำให้พี่น้องร่วมบิดามารดาของผู้ตายมีสิทธิ์ในทรัพย์มรดกด้วย ยิ่งจะสร้างปัญหาให้กับสามีหรือภริยา ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ดังเช่นกรณีตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นการจดทะเบียนสมรสหรือการทำพินัยกรรมไว้จะเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยเจ้าของกรรมสิทธิ์เองจะเป็นธรรมที่สุด และสามารถป้องกันความยุ่งยากในอนาคตได้ระดับหนึ่งครับ

สำหรับผู้ที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com หรือ Facebook: ทนายเจมส์ LK ได้เลย