สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจและใกล้ตัวของทุกท่านมาฝากครับ หลายท่านคงเคยได้อ่านข่าวข้อพิพาทระหว่าง คุณแม่ ของน้องขวัญ อุษามณี กับธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ซึ่งเกิดจากคุณแม่ของน้องขวัญสั่งซื้อโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก ระบบออนไลน์ และชำระเงินค่าโฆษณา ด้วยการใส่ข้อมูลบัตรเครดิต แต่ปรากฏว่า หลังจากที่มีการสั่งซื้อโฆษณาครั้งแรกแล้ว ยังมีการเรียกเก็บเงินอีกหลายครั้งตามมา ซึ่งแต่ละรายการนั้น ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า เป็นค่าอะไรบ้าง เนื่องจากแสดงเป็นรหัสโค้ด รวมแล้วยอดเงินที่ถูกหักไปจากบัญชีเงินฝากหลายแสนบาท โดยที่คุณแม่ของน้องขวัญไม่ได้สั่งซื้อสินค้า หรือใช้บริการ และไม่ได้รับสินค้าแต่อย่างใด ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นศาลแล้ว
จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีข้อน่าสงสัยหลายประการ ว่าเหตุการณ์แบบนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิต ย่อมมีความรู้ มีประสบการณ์ และความชำนาญสูง น่าจะมีระบบป้องกันภัยเป็นอย่างดี ในขณะที่ยุค 4.0 เป็นยุคที่การซื้อขายเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในระบบออนไลน์มากขึ้น และยังคงเป็นปริศนาอยู่ว่า ใครเป็นผู้สั่งซื้อสินค้า หรือ ใช้บริการ ในนามของคุณแม่น้องขวัญ และร้านค้าออนไลน์ได้ส่งสินค้า หรือได้บริการจริงหรือไม่ ถ้าส่งสินค้าหรือได้บริการจริง ใครเป็นคนรับสินค้าหรือรับบริการ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นศาลแล้ว ก็ต้องรอฟังผลคำวินิจฉัยของศาลอย่างเป็นทางการอีกครั้ง แต่อย่างน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ก็สามารถนำมาเป็นอุทาหรณ์ เพื่อเตือนภัยให้แก่นักช็อปออนไลน์ จะได้มีความระมัดระวัง เกี่ยวกับการซื้อสินค้าหรือใช้บริการทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น
...
โดยเฉพาะท่านที่ยินยอมให้ธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิตสามารถตัดเงินในบัญชีเงินฝากได้โดยอัตโนมัติยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะเมื่อธนาคารตัดเงินในบัญชีของท่านไปแล้ว เจ้าของบัญชีจะขอเงินคืนได้นั้น เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก เสียเวลา เสียสุขภาพจิต และอาจจะต้องใช้อำนาจศาลในการชี้ขาดข้อพิพาท เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก
เบื้องต้นทำความเข้าใจในขั้นตอนของการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์กันก่อนนะครับ เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์แล้ว ร้านค้าออนไลน์จะให้ท่านกรอกตัวเลขบัตรเครดิต และรหัสด้านหลังบัตร เพื่อความปลอดภัย เมื่อท่านกรอกตัวเลขทั้งหมดเสร็จแล้ว ร้านค้าออนไลน์จะตรวจสอบวงเงินในบัตรของท่านกับธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิต เมื่อธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิตยืนยันวงเงินในบัตรเครดิตแล้ว ร้านค้าออนไลน์จะดำเนินการส่งสินค้าให้กับผู้สั่งซื้อ หรือผู้รับบริการ
เมื่อส่งสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้สั่งเรียบร้อยแล้ว ร้านค้าออนไลน์เรียกเก็บเงินจากธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิต ต่อมาธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่ผู้ใช้บัตรเครดิต เพื่อให้ผู้ใช้บัตรเครดิตยืนยันยอดหนี้ และเรียกเก็บเงิน แต่หากผู้ใช้บัตรเครดิตตรวจสอบยอดหนี้แล้วไม่ตรงตามความจริง หรือไม่ได้เป็นผู้สั่งสินค้า หรือไม่ได้ใช้บริการ หรือมีการเรียกเก็บเงินซ้ำ ผู้ใช้บัตรเครดิตจะต้องติดต่อธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิต ภายใน 3 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง หรือตามกำหนดเวลาในใบแจ้งหนี้ เพื่อดำเนินการปฏิเสธรายการใช้บัตรเครดิต และธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ หากท่านเพิกเฉยต่อการปฏิเสธรายการใช้บัตรเครดิต ภายในระยะเวลาที่กำหนด ท่านอาจจะเสียเปรียบในเชิงคดี เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวนี้ ท่านได้ตกลงไว้ในการสมัครใช้บัตรเครดิตแล้ว
จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีข้อควรระวังในการใช้บัตรเครดิตในการซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ผ่านระบบออนไลน์เบื้องต้น ดังนี้
1. ไม่ควรบอกเลขบัตรเครดิต วันหมดอายุของบัตรเครดิต และรหัสด้านหลังบัตร หรือถ่ายภาพบัตรเครดิตให้แก่ผู้อื่น เนื่องจากผู้อื่นอาจจะนำเลขบัตรเครดิตของท่านไปใช้ได้
2. ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือของผู้อื่น ในการชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการในระบบออนไลน์ เนื่องจากร้านค้าออนไลน์บางแห่งมีระบบที่ให้จดจำเลขรหัสบัตรเครดิตและรหัสด้านหลังบัตรอัตโนมัติ จึงเสี่ยงต่อการที่เจ้าของโทรศัพท์มือถือจะนำเลขที่บัตรเครดิตของท่านไปใช้ได้ ดังนั้น จึงควรใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองเท่านั้น ในการชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการออนไลน์
3. การชำระค่าสินค้า หรือชำระค่าบริการ ไม่ว่าจะชำระในระบบออนไลน์ หรือมีการรูดใช้บัตรเครดิตตามปกติ ก็ควรจะเก็บหลักฐานไว้ก่อน เพื่อรอตรวจสอบยอดกับใบแจ้งหนี้
...
4. เมื่อพบรายการใช้บัตรเครดิตที่ผิดปกติ ควรรีบติดต่อธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิต เพื่อปฏิเสธรายการใช้บัตรเครดิตทันที โดยเฉพาะธนาคารบางแห่งจะให้เวลาในการปฏิเสธรายการใช้บัตรเครดิตเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น หากท่านไม่ปฏิเสธภายในระยะเวลาดังกล่าว ถือว่าท่านยืนยันยอดการใช้บัตรเครดิตแล้ว ซึ่งกรณีนี้จะต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาลอีกครั้งหนึ่งว่าข้อตกลงดังกล่าวนั้น เป็นข้อตกลงอันฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่
5. เมื่อท่านทำบัตรเครดิตหายให้รีบแจ้งธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิตทันที หากท่านเพิกเฉยและมีคนร้ายนำบัตรเครดิตของท่านไปใช้ ท่านอาจจะต้องเสียเวลาในการไปต่อสู้ในชั้นศาล เพื่อปฏิเสธการใช้บัตรเครดิตดังกล่าว
ขอฝากเป็นตัวอย่างเตือนใจให้แก่ท่านนักช็อปออนไลน์ทั้งหลาย ควรระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต ในการชำระหนี้ค่าสินค้าหรือบริการ เพราะถ้ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นแล้ว ย่อมสร้างปัญหาให้แก่ท่าน เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย เสียสุขภาพจิตให้แก่ท่านและครอบครัวได้ “เทคโนโลยีสมัยใหม่” ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียนะครับ สุดท้ายนี้ อยู่ที่ท่านจะศึกษาก่อนจะเสียหาย หรือจะรอให้เสียหายก่อนค่อยศึกษาครับ
สำหรับผู้ที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com หรือ Facebook: ทนายเจมส์ LK ได้เลย