แม้เมืองไทยจะมี พ.ร.บ.ตอบแทนผู้เสียหายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ปี 2544 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ปี 2559 ให้การช่วยเหลือแก่ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ให้ได้รับความเป็นธรรม
แต่ตลอดเวลา 17 ปีที่กฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับ ยังมีอุปสรรคปัญหาสำคัญหลายเรื่อง ทั้งในแง่การช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนที่ตกเป็นผู้เสียหาย และจำเลยในคดีอาญา ในลักษณะของการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น และการขาดเอกภาพของหลายหน่วยงาน ที่ต้องเข้าไปทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข สภาทนายความฯ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำนักงานเขตต่างๆ และองค์กรพัฒนาเอกชน เป็นต้น
ที่ว่าขาดเอกภาพ...ก็เพราะติดขัดปัญหาแบบไทยๆ ที่แต่ละหน่วยงานแบบไทยๆต่างมีนโยบาย หรือแนวทางปฏิบัติงานกันแบบต่างฝ่ายต่างทำ ข้าฯไม่ขึ้นกับเอ็ง...เอ็งอย่าบังอาจมาสั่งข้าฯ ข้าฯไม่จำเป็นต้องฟังเอ็ง
ดังนั้น ภาพที่เกิดและเห็นกันจนชินชา นอกจากไม่มีการแลกเปลี่ยน ประสานงาน (มีแต่ประสานงา) ยังมักขาดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานทั้งหลาย ซึ่งแทนที่ควรจะร่วมกันเร่งยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที กลับยิ่งทำให้เหยื่อต้องมาเคราะห์ร้ายเป็นซ้ำสอง...จากการ ช่วยเหลือที่ล่าช้า แถม ไม่เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล
คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จึงเห็นควรเสนอให้มีการปฏิรูประบบการคุ้มครองเหยื่อ หรือผู้เสียหายจากการกระทำผิดทางอาญาอย่างเร่งด่วนใหม่
โดยมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบขับเคลื่อนดำเนินงามตามข้อเสนอ เพื่อให้ความช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมของประเทศไทย ให้สามารถเข้าถึงบริการของรัฐอย่างมีมาตรฐานสากล ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
...
ว่าที่ร้อยตรีธนกร สถานานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหาย และจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม หนึ่งในผู้คลุกคลีกับปัญหาโดยตรง บอกว่า
ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานที่สำคัญอย่างหนึ่งของกฎหมายฉบับนี้ ก็คือ เป็นแค่เครื่องมือที่ให้การช่วยเหลือผู้เสียหาย ในลักษณะของการเยียวยาเบื้องต้น ซึ่งไม่อาจบรรเทาผลร้าย หรือช่วยให้ผู้เสียหายกลับคืนสถานะเดิมก่อนเกิดเหตุได้
ผอ.ธนกร บอกว่า ผู้ที่เข้าข่าย หรือมีสิทธิจะได้รับความช่วยเหลือตามกฎหมายฉบับนี้ มี 2 ประเภทหลักๆ คือ ผู้เสียหาย กับจำเลย ในคดีอาญา
“ผู้เสียหาย” จะต้องเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา จากการกระทำผิดทางอาญาของบุคคลอื่น โดยที่ตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้น
ส่วน “จำเลย” หมายถึง ผู้ที่ถูกฟ้องในคดีอาญา โดยพนักงานอัยการ และถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งต่อมาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยมิได้กระทำความผิด หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ทั้ง 2 กรณี มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือตามกฎหมายนี้
ผอ.สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหาย และจำเลยในคดีอาญา บอกว่า จากสถิติที่ผ่านมา พบว่า มีทั้งผู้เสียหายและจำเลย ที่เข้าข่ายยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือจากทางสำนักงานแห่งนี้ เฉลี่ยปีละ 6,000 ราย/กรณี
ซึ่งแต่ละปีรัฐต้องใช้เงินในการเยียวยาประมาณ 500 กว่าล้านบาท แต่รัฐบาลเจียดงบประมาณแผ่นดินปกติมาเยียวยาเหยื่อเหล่านี้เพียงแค่ปีละ 300 ล้านบาท ในส่วนที่เกินไปประมาณ 200 ล้านบาท ต้องขอใช้งบประมาณกลางมาให้ความช่วยเหลือ
“ที่เป็นปัญหาใหญ่ในทางปฏิบัติมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ หลักปฏิบัติของทางราชการ อะไรที่เป็นเรื่องที่รัฐจะต้องจ่ายเงิน จะต้องถือปฏิบัติตามระเบียบของราชการโดยเคร่งครัด และต้องตรวจสอบกันให้ดี ไม่เช่นนั้นคนที่จ่ายไปต้องรับผิดชอบ ทำให้การอนุมัติเงินเยียวยาแก่เหยื่ออืดอาด ล่าช้า”
“ส่วนใหญ่พอประชาชนไปติดต่อ ทางราชการก็จะใช้วิธีให้เซ็นชื่อไว้ แล้วให้รอไปก่อน แต่ประชาชนที่เขาเดือดร้อน เขารอไม่ได้ ไม่เข้าใจ และรู้สึกว่าไม่เห็นจะมีใครช่วยเหลืออะไรเขาได้ ดังนั้น ถ้าเอามารวมกันได้ ทั้งเรื่องเงินเยียวยา ควรให้เขาไปทีเดียวก่อนเลย ไม่ต้องให้ไปติดต่อตามเรื่องหลายแห่ง เรื่องที่พักพิง จัดหาที่พักให้ รวมทั้งเรื่องให้คำปรึกษาทางกฎหมาย ควรทำให้จบได้ในที่เดียว หรือวันสต็อป เซอร์วิส จะดีที่สุด”
ผอ.ธนกร ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกฎหมายลักษณะเดียวกัน ที่มีใช้ในประเทศพัฒนาแล้ว อย่างเช่นสวีเดน และญี่ปุ่น
เขายกตัวอย่าง กรณีประเทศญี่ปุ่น รูปแบบการให้ความช่วยเหลือเยียวยาจะเป็นไปในลักษณะทันทีทันใด เช่น ถ้าแพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยแล้วว่า คุณคือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกทำร้ายในคดีอาญา เช่น ถูกชกหน้า เป็นบาดแผล หมดค่ารักษาไป 100 บาท
“สมมติว่า รัฐออกค่าเยียวยาให้ก่อนทันที 30 บาท พอคุณไปแจ้งความกับตำรวจ เอาใบรับรองแพทย์ว่าคุณถูกทำร้าย พร้อมใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล ไปยื่นเรื่องที่โรงพัก คุณสามารถรับเงินเยียวยาที่โรงพักนั้นได้ 30 บาทเลยทันที เป็นต้น”
เทียบกับของไทยเรา ปัจจุบันยังต้องใช้วิธีรอให้ คณะกรรมการฯ ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนหลายฝ่าย จำนวนหลายคน ว่างมาประชุมและอนุมัติกัน เดือนละ 1-2 หน หลังจากคณะกรรมการอนุมัติยังต้องส่งเรื่องต่อไปยังฝ่ายการเงินของกรมคุ้มครองสิทธิฯ จากนั้นทางกรมฯต้องส่งเรื่องรออนุมัติต่อไปยังกรมบัญชีกลางต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 7 วัน
ผอ.ธนกร บอกว่า สรุปแล้วหากเกิดเหตุเดียวกันในเมืองไทยแต่ละเคส หรือกรณี ต้องใช้เวลารอเพื่อได้รับเงินเยียวยาเฉลี่ยอย่างต่ำตั้งแต่ 30-45 วัน ขึ้นไป
อีกส่วนที่เป็นของใหม่ตามร่างกฎหมาย ซึ่งมีการเสนอปรับปรุง ก็คือ เรื่องของกองทุนคุ้มครองผู้เสียหายในคดีอาญา เดิมใช้แต่งบประมาณแผ่นดินปกติอย่างเดียวปีละ 300 ล้านบาท ไม่พอ ทำให้ผู้ได้รับความเสียหายต้องรอคิวนาน กว่าจะได้รับการเยียวยา
...
ล่าสุด ตามร่างกฎหมายใหม่ จึงเปิดช่องให้มีการจัดตั้งกองทุนคุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายในคดีอาญา โดยนอกจากมีที่มาจากเงินอุดหนุนซึ่งรัฐบาลจัดสรรให้ กองทุนฯนี้ยังสามารถรับเงิน หรือทรัพย์สิน ที่มีผู้บริจาคหรืออุทิศให้ และเงินที่ได้รับจากต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งเงินค่าปรับที่ได้จากจำเลยในคดีอาญา นำเข้ามาไว้เป็นกองทุนฯ ใช้ในการเยียวยาเหยื่อได้ด้วย
“ได้แต่หวังว่า หากทุกฝ่ายเห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ และสนช.ผ่านออกมาเป็นกฎหมายใหม่ ผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อในคดีอาญา นอกจากจะได้รับการเยียวยาในเบื้องต้นรวดเร็วขึ้น ยังจะลืมตาอ้าปากได้กว้างขึ้น และอย่างเป็นมาตรฐานสากลด้วย” ผอ.ธนกร ตั้งความหวัง.