ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผอ.สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยว่า เมล็ดพันธุ์เป็นสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงและไทยเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ที่สำคัญเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน เป็นอันดับที่ 3 ในเอเชียแปซิฟิก มีมูลค่าการส่งออกปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท แต่ด้วยปัจจุบันสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้การผลิตและคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ด้อยลง ส่งผลให้เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์โลก (Seed Hub) และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทยในเวทีโลกได้ สวทช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี เชียงใหม่และบริษัทผู้ประกอบการเมล็ดพันธุ์ จัดโครงการพัฒนาทักษะผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ขึ้นมา

“ด้วยการนำเทคโนโลยีโรงเรือนอัจฉริยะมาใช้ในการทดลองปลูกพืชเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ โดยใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) ที่สามารถควบคุมสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมกับการปลูกพืช มีระบบเซ็นเซอร์ที่พัฒนาขึ้นให้เหมาะกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ซึ่งระบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเพาะปลูกเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ได้เป็นอย่างดี และช่วยยกระดับขีดความสามารถการผลิตเมล็ดพันธุ์ให้ประเทศ รวมทั้งจะเป็นเสมือนโชว์รูมเพื่อขยายผลเทคโนโลยีดังกล่าวออกไปสู่บริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์อื่นๆ”

สำหรับที่มาระบบโรงเรือนอัจฉริยะ นายเฉลิมชัย เอี่ยมสอาด วิศวกรออกแบบโรงเรือน บอกว่า เป็นโรงเรือนแบบ น็อกดาวน์ ที่พัฒนาคิดค้นขึ้นโดย สวทช. มีข้อดีสามารถประกอบได้เร็ว ง่าย สะดวก ใช้เวลาติดตั้ง 3 วัน ต่างจากโรงเรือนทั่วไปที่ต้องใช้เวลาติดตั้งนาน 4-5 วัน

โครงสร้างทำจากเหล็กกัลวาไนซ์กันสนิม ปิดคลุมด้วยพลาสติกสูตรมัลติฟังก์ชันนอล มีคุณสมบัติช่วยลดอุณหภูมิในโรงเรือนไม่ร้อนเกินและกรองแสงให้อยู่ในระดับที่พืชนำไปสังเคราะห์แสงได้ มีระบบควบคุมพัดลมระบายอากาศ ระบบเซ็นเซอร์แสงควบคุมม่านปรับความเข้มของแสงได้โดยอัตโนมัติ เซ็นเซอร์อุณหภูมิความชื้น มีระบบสเปรย์หมอกอัตโนมัติหรือ Cooling Pad โรงเรือนขนาดกว้าง 6 ม. ยาว 20 ม. สูง 5.6 ม. สามารถปลูกพืชผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ 200-300 ต้น ราคาอยู่ที่หลังละ 400,000 บาท มีอายุใช้งานมากกว่า 10 ปี สอบถามได้ที่ 0-3885-7100 ต่อ 100.

...