“อุดม” แนะรัฐทุ่มอัดฉีดงบฯเพิ่ม เชื่อแยกกระทรวงสปริงบอร์ดยกระดับ
ตามที่รอยเตอร์เผยผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคเอเชีย ปี 2561 มีมหาวิทยาลัยไทย 10 แห่งติดโผ โดยมี 2 มหาวิทยาลัยอยู่ในอันดับดีขึ้น 1 มหาวิทยาลัยอันดับเท่าเดิม ในขณะที่ 7 มหาวิทยาลัยถูกปรับอันดับลดลง ศ.นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การจัดอันดับมีหลายกระดาน ซึ่งมีตัวชี้วัดไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามการที่ถูกปรับอันดับลดลงมหาวิทยาลัยก็ต้องทบทวนตัวเอง ว่าไม่ได้ผลิตบัณฑิตที่ตอบโจทย์ประเทศหรือโลกข้างหน้าได้ เพราะตัวชี้วัดดังกล่าวเน้นการสร้างองค์ความรู้ใหม่และการสร้างงานวิจัยที่มีการนำไปใช้ประโยชน์อ้างอิง ซึ่งต้องยอมรับว่า มหาวิทยาลัยไทยสร้างผลงานเยอะแต่ถูกนำไปใช้อ้างอิงน้อย แสดงว่าคุณภาพอาจจะไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงควรปรับตรงนี้ด้วย ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองก็ต้องสนับสนุนมหาวิทยาลัยมากขึ้น ถ้าไปดูสัดส่วนการลงทุนเรื่องอุดมศึกษาของไทยต้องยอมรับว่าน้อยมาก เพียงปีละประมาณ 97,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ มาเลเซีย เราน้อยกว่าเกือบ 10 เท่า ดังนั้น รัฐบาลต้องมองว่านี่คือการลงทุนระยะยาวที่แม้จะไม่เห็นผลเร็วแต่จำเป็นต้องทำ
“เรื่องนี้ผมได้นำเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้วว่า ต้องลงทุนด้านการศึกษาให้มากขึ้นโดยเฉพาะอุดมศึกษา ที่จะเป็นหัวขบวนในการปฏิรูปการศึกษาและยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ” รมช.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าประเทศไม่ได้มีเงินเยอะ แต่นายกฯเข้าใจและพยายามผลักดันให้แยกกระทรวงการอุดมศึกษาออกจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพราะอยู่ใน ศธ.อุ้ยอ้ายและงบฯไปอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาก็หมดแล้ว การแยกออกมาจะได้มีความชัดเจนและสนับสนุนได้เต็มที่ ซึ่งจะเป็นสปริงบอร์ดสำคัญในการยกระดับอุดมศึกษา เมื่อปี 2546 ประเทศไทยยุบทบวงมหาวิทยาลัยมาอยู่ใน ศธ. และปี 2547 มาเลเซียแยกออกมาเป็นกระทรวงอุดมศึกษา ผ่านมา 10 กว่าปีเห็นความแตกต่างชัดเจน มหาวิทยาลัยมาลายาซึ่งเคยอันดับต่ำกว่ามหิดลและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเยอะ แต่ตอนนี้อยู่เหนือกว่าในอันดับที่ 50 ทั้งยังมีมหาวิทยาลัยเล็กๆอีก 5 แห่งอันดับแซงมหิดลและจุฬาฯเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีการลงทุนมากขึ้น ดังนั้น รัฐบาลไทยก็ต้องเอาอย่าง
...
ด้าน รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า คงต้องดูรายละเอียดการประเมินผลการจัดอันดับก่อน อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยในต่างประเทศหลายแห่งดีขึ้น เพราะรัฐบาลทุ่มเทงบฯวิจัยจำนวนมากและทำอย่างต่อเนื่อง เช่น ประเทศมาเลเซีย ส่วนอันดับโลกของมหาวิทยาลัยไทยที่ตกลงนั้น อาจเป็นเพราะมหาวิทยาลัยไทยมุ่งทำวิจัยเพื่อพัฒนาสังคม และตอบโจทย์การพัฒนาประเทศมากกว่ามุ่งเป้าเพื่ออันดับโลก ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการที่มหาวิทยาลัยแยกตัวจากส่วนกลางมีส่วนทำให้อันดับโลกตกไปนั้น ตนคิดว่าไม่น่าจะเป็นจริง เพราะการบริหารงานที่คล่องตัวทำให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้น ตนเห็นว่ารัฐควรสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบให้มากขึ้น และจัดสรรงบฯให้กับมหาวิทยาลัยที่บริหารงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีขึ้น.