ภายหลังเปิดปฏิบัติการ 11-12 ต.ค.2560
ทีมงานของ พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.ภ.6 เริ่มเห็นอนาคตที่จะทลาย
เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ได้อย่างราบคาบ
แต่จำเป็นต้องมีกำลังและ “ผู้นำทัพ” ระดับสั่งการสร้างเป็นโมเดลใหญ่
เจ้าตัวถึงประสานข้อมูลส่งภารกิจสำคัญให้ นรต.รุ่นพี่ อย่าง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.รับไม้ต่อเป็นทีมงาน
จนเกิด ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ไล่เก็บกวาดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั่วประเทศโยงใยไปถึงในต่างประเทศ
ต่อมาเกิดกลิ่นไม่ชอบมาพากล
มีนักล็อบบี้ยิสต์คนหนึ่งถือ ไดอารี่บิ๊กตำรวจ ทำเนียนมาขอคุยเจรจาไม่ให้ดำเนินคดีผู้ต้องหาสาวที่เปิดบริษัทนำเที่ยวเถื่อนบังหน้าย่านรัชดาภิเษก
ผู้หญิงคนนี้เป็น “เมียหัวหน้าแก๊งชาวไต้หวัน” รับทำธุรกรรมทางการเงินในเมืองไทย
เมื่อชุดสืบสวนจับกุมยืนกรานปฏิเสธ นักล็อบบี้ยิสต์ตัวแสบหายหน้าไปไม่ถึงสัปดาห์ก็โผล่เปลี่ยนไปเข้าพบพนักงานสอบสวนแทน
วิ่งเต้นเสนอเงินหลักล้านบาทขอล้มคดีผู้ต้องหาสาวรายเดียว
พนักงานสอบสวนยืนยันเหมือนกับทีมสืบสวนจับกุม
ผลสุดท้าย อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องหญิงผู้ต้องหาตัวการสำคัญรายนี้ โดยไม่มีแทงเรื่องคืนพนักงานสอบสวนให้สอบเพิ่มเติมในส่วนสำนวนที่บกพร่อง
เหมือนทุกอย่างที่ พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ นักสืบหนุ่มรุ่นใหม่ทำมาทั้งหมดพังไม่เป็นท่า ย้อนกลับไปหา “บทเรียนเก่า” เอาผิดหัวโจกขบวนการคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้
ชี้ให้กระบวนการยุติธรรมแก้ปัญหาไม่ครบทั้งระบบ แม้จะตั้งคณะทำงานหลายฝ่ายร่วมมือกันอุดรอยรั่ว แต่บางหน่วยที่
ตัวเองเป็น แม่งานหลัก ดันเจาะยางเอง
...
ส่งสัญญาณเตือนเกมยังไม่จบ!!!
สหบาท