หลุดพ้นจากภัยแล้งติดต่อกัน 4 ปี (2556–2559) ปีที่แล้วไม่เพียงฝนจะเทมามากล้น ร่วม 2,000 มม. มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติเกือบ 30% กลางฤดูหนาวยังอุตส่าห์มีฝนควบหนาวส่งท้ายปีเข้าให้อีก...ภาวะอากาศยุคนี้ปรวนแปรสิ้นดี
ปีใหม่ 2561 สภาพลมฝนฟ้าจะเป็นอย่างไร มาดูข้อมูลคำวิเคราะห์จากผู้รู้ เพื่อพี่น้องเกษตรกรจะได้รับสถานการณ์และปรับตัวเข้ากับภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป
“ปีที่ผ่านมาแม้ไม่ได้มีสภาวะของลานีญา แต่ฝนตกเยอะ เพราะได้รับอิทธิพลจากมรสุมหลายลูก โดยเฉพาะภาคใต้ ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากพายุในฝั่งทะเลจีนใต้และอันดามัน ส่วนภาคอื่นๆ โดยเฉพาะเมืองใหญ่ ได้รับผลกระทบตามปกติจากภาวะโลกร้อนอยู่แล้ว นั่นคือ ปรากฏการณ์ Cloudburst หรือฝนตกกระหน่ำอย่างกะทันหัน แต่จะหยุดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกิดความร้อนสะสมจากการใช้พลังงานในเมืองสูง จนผลักตัวให้ความชื้นสู่ชั้นบรรยากาศ เมื่อปะทะเข้ากับลมเย็น เลยทำให้เกิดฝนตกหนัก”


...
สำหรับปี 2561 ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) คาดว่าจะเกิดภาวะลานีญาอย่างแรงหรือ ซุปเปอร์ลานีญา แต่ต้องดูอุณหภูมิในมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือประกอบอีกครั้งว่าต่ำกว่าปกติมากหรือไม่ รวมถึงปัจจัยประกอบหลายอย่าง
แต่ที่แน่ๆ แม้จะเป็นลานีญาธรรมดา มีผลทำให้ปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ ประกอบกับน้ำในเขื่อนค่อนข้างมาก ปี 2561 จึงแน่ใจว่าจะไม่ประสบปัญหาภัยแล้ง และถ้าบริหารจัดการน้ำดีๆ คงจะไม่ท่วมหนัก... ปี 2561 ทุกอย่างน่าจะคล้ายปี 2526 และปี 2538 คือน้ำเยอะ รัฐต้องบริหารจัดการให้ดีเพราะมีน้ำต้นทุนจากปี 2560 มากอยู่แล้ว
“เกษตรกรต้องติดตามสภาพดินฟ้าอากาศให้ดี มองไปที่พืชอื่นนอกจากข้าวเพื่อลดความเสี่ยงและไม่เป็นแค่ผู้ใช้น้ำอย่างเดียว ต้องทำระบบชลประทานส่วนตัวของตัวเองด้วย มีแหล่งน้ำ เป็นของตัวเอง เปลี่ยนไป ปลูกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศ ทำร่องสวนปลูกพืชได้บนร่องน้ำขัง รอบๆร่อง ใช้ประโยชน์ได้ทั้งเลี้ยงปลาและปลูกพืช หรือหันมาปลูกพืชผสม ผสาน เพราะหากพืชตัวใดตัวหนึ่งเสียหายไป ยังมีพืชอีกตัวช่วยบรรเทาความเสียหาย”


และจากการศึกษาข้อมูลปริมาณฝนและอุณหภูมิรายเดือน ในช่วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ดร.รอยลพบว่าปีที่เกิดลานีญา ปริมาณฝนของไทยจะสูงกว่าปกติ...โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนและต้นฤดูฝน
แต่ในช่วงกลางและปลายฤดูฝน ลานีญามีผลกระทบต่อสภาวะฝนไม่ชัดเจน แต่ที่แน่ๆ ทุกภาคของประเทศมีโอกาสอุณหภูมิต่ำกว่าปกติทุกฤดู
ด้าน ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรม ชลประทาน วิเคราะห์สถานการณ์น้ำจากข้อ มูลตั้งแต่ปี 2554 เป็น ต้นมา...ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยแต่เกิดขึ้นทั้งโลก
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลชัด คือ ปริมาณฝนที่ตกลงมาเปลี่ยนไป พื้นที่ที่ไม่เคยมีฝนตกก็ตก พื้นที่ที่ตกอยู่แล้วก็ตกหนักขึ้น บางพื้นที่ปริมาณฝนหายไปเลยก็มี แล้วยังมีการเคลื่อนตัวของฤดูกาลฝนมาช้าบ้าง ทิ้งช่วงไปบ้าง ไปหนักปลายฤดูบ้าง

...

อธิบดีกรมชลประทาน ฝากเตือนประชาชนในเรื่องการใช้น้ำในอนาคต ผู้ใช้น้ำที่มีหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ผู้ บริโภคและใช้รักษาระบบนิเวศ ต้องสร้างจิตสำนึกในการใช้น้ำร่วมกันยกตัวอย่าง ปี 2558 เกิดภัยแล้ง มีการรณรงค์ประหยัดน้ำ พอปี 59 กลับหายไปเลย ไม่มีการรณรงค์ในเรื่องนี้เท่าที่ควร
ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นปีอะไร คนไทยต้องมีจิตสำนึก ในการใช้น้ำ ถึงปีนี้น้ำมากควรใช้น้ำอย่างประหยัดเหมือนกัน เพราะปัจจุบันจะหวังพึ่งน้ำจากชลประทานอย่างเดียวไม่ได้ เพราะชลประทานต้องพึ่งพาฟ้าฝนจากธรรมชาติเช่นกัน แต่ธรรมชาติยุคนี้วิปริตแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ยากจะคาดการณ์ได้ถูกต้อง ที่บอกว่าน้ำจะมาก อาจจะน้อยก็ได้ ฉะนั้นต้องฝึกนิสัยประหยัดเอาไว้ก่อน เพื่อจะได้มีหลักประกัน เราจะมีน้ำใช้แน่เมื่อภัยมาถึง
รศ.ดร.เจษฎา แก้วกัลยา อดีตอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน มองถึงปัญหาเรื่องน้ำในประเทศไทยว่า แม้ว่ารัฐบาล คสช. จะได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี และมีการตั้งหน่วยงานใหม่ สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อมาเป็นตัวเชื่อมประสานและกำกับดูแลหน่วยงานด้านน้ำ 30 กว่าหน่วยงานให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน แต่กว่าหน่วยงานนี้จะเดินหน้าไปได้จริง มีกฎหมายมารองรับ มีบุคลากร งบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือที่พร้อมจะทำงานได้ คงต้องใช้เวลาอีกนานต้องฝ่าคลื่นใต้น้ำหน่วยงานเดิมขัดแข้งขัดขาอีกไม่น้อย
...

ในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาน้ำสำคัญ 2 เรื่อง ท่วมกับแล้ง จะสร้างเขื่อนอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ยากจะทำได้ หนทางที่จะทำได้เร็ว ต้องใช้แก้มลิงเป็นแหล่งเก็บกักน้ำในฤดูน้ำมาก ไว้ใช้ในฤดูน้ำแล้ง
ดร.เจษฎา เสนอความเห็นว่า ในขณะที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้ ด้วยการหาพื้นที่ทำแก้มลิงให้มากขึ้น ควรรื้อฟื้นโครงการขุดสระ ขุดบ่อ ของกรมพัฒนาที่ดิน ที่มีชาวชุมชนต่างๆร้องขอมาถึงประมาณ 3 แสนกว่าบ่อ แต่ทำได้ไม่กี่พันบ่อ เพราะติดขัดงบประมาณ
“โครงการนี้เป็นเรื่องดี เพราะบ่อเหล่านี้ทำเสร็จแล้วจะมอบให้กับชุมชน ไม่ให้ใครยึดเป็นเจ้าของ แถมชุมชนที่ร้องขอจะต้องออกเงินร่วมด้วยช่วยราชการอีกบ่อละ 2,500 บาท ผลดีอันนี้จะทำให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำร่วมกัน หากทำได้ครึ่งหนึ่ง 1.5 แสนบ่อ รัฐบาลใช้เงินประมาณ 2,000 ล้านบาท จะทำหน้าที่เป็นแก้มลิงช่วยกักน้ำได้บ่อละ 1,200 คิว รวมแล้ว 18 ล้าน ลบ.ม. ได้ทั้งแก้มลิงแก้น้ำท่วมและเป็นทั้งแหล่งน้ำในหน้าแล้ง ช่วยเพิ่มช่องทางทำกินให้ชาวบ้านได้อีกทาง.
ทีมข่าวเกษตร
...