ระวัง!โรคหลอดเลือดสมอง-โรคอุบัติซ้ำ
อโรคยา ปรมาลาภา
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คือ สัจธรรมที่จริงแท้แน่นอน และเป็นสุดยอดปรารถนาของทุกคน
ในปี 2561 มีหลายโรคร้ายที่จ่อคิวเข้าคุกคามชีวิตคนไทย โดยส่งสัญญาณต่อเนื่องมาจากปี 2560 ซึ่ง ทีมข่าวสาธารณสุข ขอทำหน้าที่ฉายภาพเตือนภัยเพื่อสามารถรู้เท่าทัน “เพชฌฆาตร้าย”
เริ่มกันด้วย โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ หมายถึง โรคติดเชื้อที่เคยแพร่ระบาดในอดีต และสงบไปแล้วเป็นเวลานานหลายปี แต่หวนกลับมาระบาดซ้ำอีกครั้ง เช่น โรควัณโรค โรคแอนแทรกซ์ เป็นต้น

โรควัณโรค กลายเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะล่าสุดช่วงปลายปี 2560 พบนักเรียนโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ป่วยเป็นวัณโรค ซึ่งสร้างความตื่นตัวเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ทั้งยังอยู่ใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครอีกด้วย โดยอาการของวัณโรค ได้แก่ ไอติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ ไอมีเสมหะปนเลือด ไอแห้ง น้ำหนักลด มีไข้ต่ำๆ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีเหงื่อออกผิดปกติในเวลาหลับตอนกลางคืน เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร และอ่อนเพลีย สำหรับ วัณโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ติดต่อโดยการสูดอากาศที่มีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย มักพบได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่พบมากที่บริเวณปอด โดยกลุ่มเสี่ยงที่อาจป่วยเป็นวัณโรคสูง ได้แก่ ผู้ต้องขังในเรือนจำ ผู้สูงอายุ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเบาหวาน แรงงานข้ามชาติ และ บุคลากรด้านสาธารณสุข
...
โรคแอนแทรกซ์ เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น เช่น สุนัข แมว สุกร เป็นต้น โดยสัตว์จะติดจากการเล็มหญ้าที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส แอนทราซิส เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเชื้อโรคนี้จะทำให้สัตว์ป่วยและตายอย่างรวดเร็ว ถือเป็นอีกวิกฤตการณ์ที่น่าเป็นห่วง เพราะในปี 2560 ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโรคแอนแทรกซ์ 2 ราย ที่ จ.พิษณุโลก ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกอย่างมาก เพราะเชื้อโรคแอนแทรกซ์นั้นหากไม่รีบรักษาอาการจะรุนแรงถึงขึ้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว แต่โชคดีที่เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ถึงขั้นที่ต้องสังเวยด้วยชีวิต ส่วนอาการของโรค ได้แก่ ผิวหนังมีตุ่มหนอง มีแผลหรือฝ้าขาวในปาก ลำคอ ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด มีไข้ ไอ เหนื่อยหอบ หากพบอาการเหล่านี้ ให้รีบพบแพทย์ทันที ส่วนการติดต่อจากสัตว์สู่คนสามารถติดต่อได้ 3 ช่องทาง คือ 1.ติดเชื้อที่ผิวหนัง อาการที่พบได้แก่ ผิวหนังมีลักษณะเป็นผื่นนูน คันแต่ไม่เจ็บ ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นตุ่มพุพองแล้วแตกเป็นแผลแดงนูน และเกิดเป็นแผลเนื้อเน่าตายได้ 2.ระบบทางเดินอาหาร จะมีไข้ ปวดมวนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน คล้ายกับอาการอาหารเป็นพิษ และ 3.ระบบทางเดินหายใจ จะมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว หายใจลำบาก ซึ่งหากเข้ารับการรักษาไม่ทัน จะทำให้เสียชีวิตได้

ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เปิดเผยถึงแผนการดูแลโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ ว่า องค์การอนามัยโลกจัดให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศของโลกที่มีภาระวัณโรค โดยข้อมูลล่าสุดปี 2560 มีผู้ป่วยวัณโรคขึ้นทะเบียนรักษา 67,193 ราย คิดเป็นร้อยละ 59.4 ของอัตราความครอบคลุมการรักษาวัณโรค เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่องค์การอนามัยโลกกำหนด กระทรวงจึงได้จัดแผนยุทธศาสตร์วัณ-โรคระดับชาติระหว่างปี 2560— 2564 โดยภายในปี 2564 ตั้งเป้าลดอุบัติการณ์ของวัณโรคลงร้อยละ 12 ต่อปี จากปัจจุบันพบ 171 ต่อประชากรแสนคน ให้เหลือ 88 ต่อประชากรแสนคน และให้ทุกจังหวัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการยุติวัณโรค
“โรควัณโรคจะเน้นการดูแลรักษาอย่างเข้มข้นเป็นรายบุคคล ด้วยแนวทางการดูแลผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางให้มีอัตราความสำเร็จการรักษาไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา ส่วนกลุ่มโรคอื่นให้ปฏิบัติตามมาตรการของกรมควบคุมโรคอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะมาตรการทีมตอบโต้โรคเร็วหากพบผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อต้องเร่งควบคุม เช่น โรคแอนแทรกซ์ ที่มีการควบคุมโรคอย่างรวดเร็ว ยึดมาตรการรู้เร็ว รักษาหาย ไม่แพร่กระจาย แต่ประชาชนทุกคนต้องร่วมมือกัน เพราะหมอคนแรกที่ดีที่สุดคือตัวของเราเอง” รมว.สาธารณสุข ขยายภาพการควบคุมโรควัณโรคในปี 2561

...
หันมาดูโรคร้ายที่เป็นภัยเงียบใกล้ตัว ซึ่งมีแนวโน้มผู้ป่วย รวมถึงผู้คนต้องสังเวยชีวิตเพิ่มขึ้นกันบ้าง โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดอันตรายรุนแรงจากการขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งขณะทำงาน เล่นกีฬา หรือพักผ่อน เนื่องจากมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและมีรอยปริของผนังหลอดเลือด ทำให้มีลิ่มเลือดและไขมันมาเกาะที่ผนังและเกิดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้ โดยสัญญาณเตือนของโรคมี 5 อาการ ได้แก่ 1.ผู้ป่วยจะมีอาการแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง 2.มีเหงื่อออก 3.ปวดร้าวไปกรามสะบักหลังแขนซ้าย 3.หอบเหนื่อย 4.ใจสั่น และ 5.จุกบริเวณคอหอย บางรายอาจมีอาการจุกบริเวณใต้ลิ้นปี่คล้ายโรคกระเพาะ เมื่อเกิดภาวะเหล่านี้ผู้ป่วยต้องรีบเดินทางมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
โรคความดันโลหิตสูง จะไม่มีสัญญาณเตือนหรือไม่แสดงอาการชัดเจนในช่วงแรก มักจะตรวจพบโดยบังเอิญ หรือตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี เมื่อระดับความดันโลหิตสูงมีความรุนแรงมากขึ้น อาจแสดงอาการปวดศีรษะ มึนงง วิงเวียน สับสน เลือดกำเดาไหล อ่อนเพลีย และเหนื่อยง่ายผิดปกติ หรือผู้ป่วยบางรายพบแพทย์ด้วยอาการแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง เช่น มีภาวะผิดปกติของตามองภาพไม่ชัด มีการทำงานของไตผิดปกติ เป็นต้น
โรคเบาหวาน จะประเมินความเสี่ยงตามข้อเสนอแนะขององค์การอนามัยโลก โดยใช้วิธีประเมินคะแนนความเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วน มีพ่อ แม่ เป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือรับประทานยาควบคุมความดันโลหิต มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ หรือได้รับยาลดไขมันในเลือด มีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือเคยคลอดบุตรที่น้ำหนักตัวแรกเกิดเกิน 4 กิโลกรัม มีโรคหัวใจและหลอดเลือด มีกลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่ เป็นต้น
...

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ขยายถึงแผนการป้องกันโรค ว่า ต้องเริ่มจากการเพิ่มภาวะรอบรู้ทางด้านสุขภาพให้กับประชาชน ซึ่งในปี 2561 กรมฯได้ทำแอพพลิเคชั่นให้ความรู้เรื่องการป้องกันโรค โดยจะเริ่มจากโรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ที่ในแอพพลิเคชั่นจะบอกถึงการป้องกันโรค การสังเกตสัญญาณเตือน เพราะโรคนี้ยิ่งพบแพทย์ภายใน 60—90 นาที ที่ถือเป็นเวลาทองในการช่วยชีวิตยิ่งดี เป็นต้น ทั้งนี้ สถานการณ์โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน มีการพบมากขึ้น โดยโรคหลอดเลือดหัวใจเป็น 1 ใน 3 ของการเสียชีวิต ทั้งนี้ พบการเสียชีวิตปีละประมาณ 60,000 คน เฉลี่ยแล้วเสียชีวิตชั่วโมงละ 7 คน โดยมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมที่ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง แต่พบว่ามีอุบัติการณ์เหมือนกันทั่วโลก ส่วน โรคเบาหวาน และ ความดันโลหิตสูง พบว่า มีการป่วยเพิ่มมากขึ้นชัดเจน โดยความดันในกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไป พบความชุกในกลุ่มความดันผิดปกติเกือบ 25% เบาหวานที่มีน้ำตาลผิดปกติ 9% หากเทียบเป็นปริมาณจะพบว่า คนไทยมีภาวะความดันผิดปกติ 10 ล้านคน เบาหวานน้ำตาลผิดปกติประมาณ 5 ล้านคน
...
“โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่ เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพราะเราพบว่าคนไทยมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจาก 31% เป็น 37% ในรอบ 5 ปี และเพศหญิงในไทยเกือบครึ่งมีภาวะน้ำหนักตัวเกิน ดังนั้นแผนการป้องกันโรคต้องมุ่งเน้นที่การเพิ่มความรู้ให้กับประชาชน และในระหว่างวันหากมีพฤติกรรมเนือยนิ่งเกินหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ขอให้ประชาชน ทำการเปลี่ยนอิริยาบถ ด้วยการยืดเส้นยืดสายอย่างน้อย 3—4 นาที และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เป็นต้น” อธิบดีกรมการแพทย์ ขยายแผนการป้องกันโรคว่าต้องมุ่งเน้นที่การเพิ่มความรู้ประชาชน

ขณะเดียวกัน ยังมี 7 โรคที่ต้องจับตาเป็นพิเศษในปี 2561 จากการพยากรณ์โรค ของกรมควบคุมโรค ซึ่งวิเคราะห์สถานการณ์โรคในระบบเฝ้าระวังต่างๆ โดยใช้วิธีวิเคราะห์จำนวนและช่วงเวลาการเกิดโรค เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของการเกิดโรค เพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1.ไข้เลือดออก 2.ไข้หวัดใหญ่ 3.มือ เท้า ปาก 4.ตาแดง 5.อาหารเป็นพิษ 6.ไข้ฉี่หนู และ 7.เมลิออยโดสิส
โรคไข้หวัดใหญ่ ข้อมูลปี 2560 พบผู้ป่วย 189,870 ราย เสียชีวิต 54 ราย คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 220,000 ราย
โรคไข้เลือดออก ข้อมูลปี 2560 พบผู้ป่วย 50,033 ราย เสียชีวิต 59 ราย คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 50,000 ราย
โรคมือ เท้า ปาก ข้อมูลปี 2560 พบผู้ป่วย 68,084 ราย เสียชีวิต 3 ราย คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 94,000 ราย
โรคตาแดง ข้อมูลปี 2560 พบผู้ป่วย 105,415 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 146,000 ราย
โรคอาหารเป็นพิษ ข้อมูลปี 2560 พบผู้ป่วย 101,000 ราย เสียชีวิต 3 ราย คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 100,000 ราย
โรคไข้ฉี่หนู ข้อมูลปี 2560 พบผู้ป่วย 3,257 ราย เสียชีวิต 59 ราย คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 5,000 ราย
โรคเมลิออยโดสิส ข้อมูลปี 2560 พบผู้ป่วย 3,140 ราย เสียชีวิต 68 ราย คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 3,000 ราย


ทีมข่าวสาธารณสุข มองว่าแผนการดูแลสุขภาพของประชาชน ทั้ง โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ตลอดจนการพยากรณ์โรคปี 2561 ที่ระบุชัดว่าต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษใน 7 โรค ประกอบด้วย ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ มือ เท้า ปาก ตาแดง อาหารเป็นพิษ ไข้ฉี่หนู และเมลิออยโดสิสนั้น น่าจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนเกิดการตื่นตัวในการป้องกันโรค ทั้งเป็นการสะกิดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อม ทั้งการป้องกัน และดูแลรักษาอย่างทันท่วงที
แต่สิ่งที่เราอยากฝากคือ การร่วมมือกันอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ปล่อยให้แผนและนโยบายที่วางไว้เป็นเพียงข้อความที่อยู่บนกระดาษเท่านั้น
และคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าหากคนไทยยังต้องสังเวยชีวิตจากโรคที่สามารถป้องกันได้ซ้ำซาก!
ทีมข่าวสาธารณสุข