มีจดหมายจากหัวหน้าจ่ากองเก่า
เขียนระบายความคิดเห็นเกี่ยวกับองค์กรตำรวจ
ระบุว่า รับราชการเป็นชั้นประทวนจนเกษียณอยู่โรงพักมากว่า 30 ปี สัมผัสชาวบ้านทุกประเภท ทั้งมีทุกข์ มีสุข มาหาตำรวจหลายรูปแบบ ส่วนมากจะมีทุกข์มากกว่า
ไม่เคยเห็นใครเดินยิ้มหรือหัวเราะมาโรงพักสักครั้ง
มีตั้งแต่ปากเจ่อ ตาเขียว หูฉีก หัวแตก แขนหัก หัวแบะมาหาตำรวจ ยอมเจ็บยอมปวดเพื่อแจ้งตำรวจแทนที่จะไปหาหมอก่อน มีสารพันปัญหาที่เกิดก็ไม่พ้นตำรวจ งูเข้าบ้าน หลานนอนไม่หลับก็จะบอกตำรวจมาจับ
พวกนักเลงอันธพาล เวลาลับหลังทำเป็นเก่งกล้า ท้าทาย ไม่กลัวตำรวจ พอเห็นแค่หมวกตำรวจเท่านั้นแหละวิ่งโกยไม่คิดชีวิต ไม่เคยเห็นใครอยู่รอให้จับสักราย
นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่า “ตำรวจ”
อยู่กับผู้บังคับบัญชามา หัวหน้าสถานีเป็นผู้บังคับกองจนถึงผู้กำกับ ทำงานเป็นเสมียนประจำวัน คอยโต้ตอบช่วยงานคดี ช่วยพนักงานสอบสวนพิมพ์สำนวน เห็นเทคนิคการสอบปากคำ ทำสำนวนของแต่ละคนจะแตกต่างกัน มีลูกล่อลูกชน ลูกตะล่อม ลูกขู่ ลูกปะเหลาะแล้วแต่จะงัดกลยุทธ์ออกมา
โดยเฉพาะลูกขู่ ลูกขึงขัง เสียงดัง หน้าดุ แสดงอาการหน้าตาท่าทางด้วยน้ำเสียง หรือคำพูดออกมาแต่ละที ผู้ต้องหาปล่อยออกมาหมดไม่ขยักไว้สักนิด หรือพูดเปิดทางแบบดักหลุมโจรให้ผู้ต้องหาตอบออกมากลายเป็นคำรับสารภาพอย่างสิ้นไส้ก็มี
ตำรวจในอดีตต้องชักปืนไว มวยไทยต้องเก่ง หมัดรัวต้องเร็ว ลูกเตะต้องครบ ลูกตบต้องมี แต่ปัจจุบันพัฒนาแล้ว
ตำรวจสุภาพมากจนตกเป็น “มวยรอง”
การสอบสวนสมัยก่อนต้องยอมรับว่า นายตำรวจแต่ละท่านมีทักษะแยบยลคมคาย พยายามสืบสวนหารวบรวมหลักฐานมาเป็นแนวทางเอาผิดผู้ต้องหาแล้ววิเคราะห์ นำไปปรึกษารุ่นพี่ และผู้บังคับบัญชา ก่อนสรุปสำนวนส่งฟ้องไป
...
แล้วทำไมกลับมองตำรวจไม่ดี และไม่เหมาะกับงานสอบสวน.
สหบาท