“ปีใหม่”...เป็นปีแห่งความสุขและความสดใสของทุกชีวิต เป็นปีแห่งความหวังที่อยากจะให้มีและอยากจะให้เป็นดังที่ตนเองต้องการจนกลายเป็นความหวังที่ใหม่...เป็นปีที่ควรจะสดใสให้กับชีวิต แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปในทิศทางใดนั้นย่อมอยู่ที่ “เหตุ” และ “ผล”
“เหตุดี”...ผลที่ติดตามมาก็จะ...“ดี” เหตุที่ไม่ดีแล้วผลก็จะติดตามมาไม่ดี เมื่อดีก็จะมีความสุข แต่ถ้าไม่ดีก็จะมีแต่ความทุกข์ สุขกับทุกข์จึงเป็นของคู่กัน ถ้าอยากจะให้ผลออกมาเช่นใดจึงควรจะเริ่มต้นที่เหตุเป็นสำคัญ
พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่ ธนบุรี กทม. บอกว่าทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องการแต่ความสุขและเกลียดความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น คนเราเมื่อเกิดมาแล้วล้วนต้องการความเจริญก้าวหน้า ประสบความสำเร็จในอาชีพ หน้าที่การงาน มีทรัพย์สินเงินทองสิ่งของเครื่องใช้อำนวยความสะดวกให้กับชีวิต มีปัจจัยสี่อย่างบริบูรณ์ เพียงพอ จะเดิน นั่ง นอนก็ล้วนมีเครื่องอำนวยความสะดวกไปหมดทุกอย่าง
มีเกียรติ...ศักดิ์ศรีในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม มีครอบครัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความอบอุ่น สร้างความสุขให้กับคนในบ้าน...แล้วยังต้องการเป็นที่ “ยอมรับ” จากผู้คนในสังคม
แต่ทว่า...ความสุขที่จะเสาะแสวงหามาได้เช่นนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่ยาก เพราะสิ่งเหล่านี้คือ ทรัพย์สินเงินทอง ความรู้ความเข้าใจ การเจริญเติบโตของทางร่างกายรวมถึง “ความดี” จำเป็นต้องใช้กาลเวลาสะสมขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย วันละเล็กวันละน้อย ดังนั้น...ความสุขที่เกิดขึ้นกับชีวิตจึงมิได้เกิดขึ้นโดยปาฏิหาริย์หรือบังเอิญ
“ความสุขที่แท้จริง” จึงเกิดขึ้นจากผลแห่งการกระทำของเราคือ คุณงามความดีอันเกิดขึ้นจากการบำเพ็ญเพียรมาอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็น “ความสุขที่ยั่งยืน”
...
“ชีวิตของคนเราย่อมประสบกับทั้งความสมหวัง...ไม่สมหวัง บางวันก็พบแต่ความทุกข์ บางวันก็ได้สัมผัสแต่ความสุข บางวันก็ถูกใส่ร้ายต่างๆ นานา บางวันก็ถูกยกย่องสรรเสริญเยินยอ บางวันก็มีแต่โชคลาภไหลมาเทมา บางวันก็พบแต่ความหายนะความสูญเสียจากด้านหนึ่งก็เพิ่มมาอีกด้านหนึ่ง”
สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นกับทุกชีวิตโดยที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เมื่อเราพบแต่สิ่งที่ดีแล้วก็ไม่อยากให้สิ่งที่ดีนั้นจากเราไป เมื่อเราพบสิ่งที่ชั่วร้ายก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้สิ่งที่ชั่วร้ายนั้นหายไปจากตัวเราให้เร็วพลันหรือให้เร็วที่สุด อย่าได้รับเคราะห์กรรมเช่นนั้นอีกต่อไป ทางพระจึงเรียกว่า “โลกธรรมแปดประการ”
คือ...สุข ทุกข์ ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ ได้รับการสรรเสริญ ถูกติฉินนินทา เหล่านี้ย่อมเกิดกับทุกคนและอยู่คู่กับโลกนี้ตลอดไป เมื่อเราพบกับสิ่งที่พึงปรารถนาแล้วก็ขอจงมีสติระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งนี้จะอยู่คู่กับตัวเราเพียงชั่วขณะ มีเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้วแปรปรวนไปในท่ามกลางและดับสลายไปในที่สุด
“ขอจงบริโภคและอยู่กับมันอย่างมีสติสัมปชัญญะ...เมื่อสุขสมหวังก็ขอให้สมหวังโดยไม่หลงลืมว่าความสุขนี้อีกไม่นานก็จะจากเราไป อย่าได้ไปยึดติดว่ามันจะต้องอยู่คู่กับเราตลอดไป”
แต่...เมื่อพบกับความไม่สมหวังแล้วก็อย่าไปจมปลัก ขอจงเข้มแข็ง อดทน กล้าต่อสู้กับความไม่สมหวัง ให้มองไปข้างหน้าว่าชีวิตจะต้องเสาะแสวงหา ชีวิตจะต้องหลุดพ้นไปจากความชั่วร้ายนี้ให้ได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
อย่าได้กลายเป็นคนท้อถอย พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนมวลมนุษย์ไว้แล้วเมื่อสองพันกว่าปี “คนเราจะล่วงพ้นจากความทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ” นี่เป็นการให้สติเตือนใจมนุษย์ทั้งหลาย
สังคมเราทุกวันนี้พอกพูนไปด้วย “อบายมุข”...หนทางแห่งความเสื่อมความหายนะ การปล่อยให้ผู้คนในสังคมเกิดการมั่วสุมจับกลุ่มเป็นแก๊งต่างๆ ประพฤติผิดศีลธรรม ผิดกฎหมายบ้านเมืองโดยที่ผู้มีอำนาจและรับผิดชอบโดยตรงไม่เข้าไปจัดการทั้งๆที่รู้อยู่ก็ทำทีเป็น “เฉย” เพราะอำนาจของเงินตราบังหน้า?
หรือ? ถ้าไม่กลายเป็น “ข่าว” ผ่านโซเชียล ผ่านสื่อมวลชนก็จะไม่ได้รับความสนใจ...ใส่ใจป้องกัน...แก้ไขปัญหา พระมหาสมัย บอกว่า อีกอย่างหนึ่งคือการไม่ปลูกฝังให้ผู้คนในสังคมรู้จักรับผิดชอบในตนเองและในหน้าที่ของตน ดังนั้น “อบายมุข” จึงเป็นหนทางแห่งความเสื่อมและความหายนะของสังคมเรา
“ขอจงมาช่วยกันตระหนักเห็นโทษเหล่านี้แล้วหันมาช่วยกันรณรงค์ ช่วยกันห่างเหิน ช่วยกันชี้โทษสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นเพื่อมิให้เข้ามาครอบงำผู้คนในสังคม มิให้เข้ามาครอบงำเด็ก...เยาวชนซึ่งเป็นลูกหลานของสังคมเราในวันข้างหน้า สิ่งชั่วร้ายเหล่านี้สามารถป้องกัน แก้ไขได้โดยเริ่มที่ตัวเรา...เป็นประการสำคัญ”
ถ้าเรามองเห็นคุณค่าและความสำคัญของคำสอนของพระพุทธองค์เช่นนี้แล้ว ย่อมสามารถป้องกันได้ที่ต้นเหตุจริงๆ แต่ถ้าเรายังหลงใหลอยู่กับอบายมุขทั้งหกชนิดอยู่ ก็อย่าหวังเลยว่าอนาคตของเราจะมีแต่ความสุขและความสดใส เพราะสมอง สติปัญญา รวมถึงพฤติกรรมของเราได้ถูก “อบายมุข” ครอบงำเสียแล้ว
พฤติกรรมหนึ่งของการลุ่มหลงอยู่ในอบายมุขของผู้คนในสังคมที่น่าเป็นห่วงอย่างมากคือ การเสี่ยงโชครายวันและรายเดือนทั้งที่ถูกต้องตามกฎหมาย...ผิดกฎหมายบ้านเมือง ถือว่าเป็นการพนันชนิดหนึ่งที่นับวันแต่จะสร้างความสับสนความวุ่นวายมากขึ้น คนที่เสี่ยงโชคแล้วโชคดีกลับกลายเป็นผู้ไม่โชคดีเพราะถูกขโมย
...
“ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมาแล้วทำหล่นหายบ้างรวมถึงการใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ เพื่อจะให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองของคนอื่นมาเป็นของตนเองบ้าง จึงกลายเป็นพฤติกรรมของผู้คนในสังคมที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก”
การแสดงออกถึง “ความโลภ” ที่ผิดศีลธรรมหรือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อย่างชัดเจน นั่นคือการกระทำที่ผิดศีลข้อที่สอง คือ อทินนา ทานา เวระมณี แทนที่ผู้คนในสังคมจะประพฤติตนอยู่ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่ดีคือ รักษาศีลห้าของตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง...ทำไม่ได้มากก็ขอให้ทำได้อยู่บ้าง
มิใช่ปล่อยให้กลายเป็นปัญหาสังคมหรือกลายเป็นกระแสทางสังคมที่มีแต่ความสับสนวุ่นวายไปหมด นี่คือโทษของอบายมุขที่ชัดเจนที่สุดขณะนี้ แล้วเราจะป้องกันหรือแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?
พระมหาสมัย ย้ำว่า การเสาะแสวงหามาได้ซึ่งปัจจัยสี่ในทางที่ไม่ขัดกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาคือการรักษาศีลห้าของตนเองให้ดีที่สุดหรือรักษาศีลของตนเองที่รักษาอยู่นับตั้งแต่ศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบและศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อ เมื่อคนเรามีศีลเป็นของตนเอง...มีธรรมะครองใจแล้วก็ย่อมจะมองเห็นโทษของอบายมุขได้อย่างชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วจะเกิดอาการปฏิเสธ ไม่เสพ ไม่เกี่ยวข้อง แล้วเกิดการขยันทำมาหากิน
เลี้ยงชีวิตด้วยความเพียร อดทน อดออม ซื่อสัตย์สุจริตตามความรู้ความสามารถของตนเอง จนกลายเป็นผู้ที่มีธรรมะครองใจ มีศาสนาเป็นจุดยึดเหนี่ยวของชีวิต มีศาสนาเป็นแสงสว่างชี้นำทาง ในที่สุดก็กลายเป็น “พลเมืองที่ดีมีคุณภาพ” จนเกิดการยกย่อง ชมเชยขึ้นมาในสังคม กลายเป็นแบบอย่างที่ดีตลอดไป
ปีใหม่...เปิดศักราชใหม่ เราก็ควรจะสำเหนียกในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเสียบ้าง หันมาร่วมใจกันประพฤติตนเป็นคนดีได้ตั้งแต่วันนี้และบัดนี้ ไม่ต้องรอวันหน้า เดือนหน้าและปีหน้าอีกต่อไป
...
“เริ่มเลยที่ตัวเรา ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาตักเตือนหรือมาคอยให้กำลังใจ ความดีย่อมเกิดขึ้นที่ตัวเราทำดี ความชั่วก็ย่อมเกิดขึ้นที่ตัวเราทำชั่ว ไม่มีใครที่จะทำให้เราชั่วได้ตราบใดที่เรายังเป็นคนดี และไม่มีใครที่จะทำให้เราดีได้ตราบใดที่ตัวเรายังเป็นคนชั่ว...ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเกิดที่ตัวเรา คนอื่นเป็นเพียงองค์ประกอบทางสังคมเท่านั้น”
สังคมเราจะดีจึงเริ่มที่ “ตัวเราดี” นี่เอง...ปีใหม่ขอให้มีความสุข ความสดใสในชีวิต หน้าที่การงานตลอดการครองชีพด้วยการประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของศาสนาที่ตนเองเคารพ...นับถือ อยู่ในกติกา ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของสังคม ไม่ล่วงละเมิดกฎหมายของบ้านเมือง ขยันทำมาหาเลี้ยงชีวิตด้วยความอดทน ซื่อสัตย์ สุจริต เก็บเล็กผสมน้อย มีความภาคภูมิใจใน “อาชีพ” และ “หน้าที่การงาน” ของตนเอง
ถึงแม้บางคน...บางงานจะไม่มีเกียรติในสังคมหรือไม่มีผู้คนมองเห็นคุณค่า ทว่าทุกวิถีชีวิตล้วนมีความสำคัญสอดคล้องกันไปทั้งนั้น สำคัญก็คือ “ความดี”...เท่านั้นที่จะทำให้เรามีความสุข.