ข้อมูลน่าสนใจวันนี้...กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้มีการจัดเก็บเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ โดยมียอดการจัดเก็บ “เงินรายได้” ที่เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2559 และปี 2560 อยู่ที่เกือบ 420 ล้านบาท
แจกแจงรายละเอียดในปี 2559 จัดเก็บเงินฯได้จำนวน 1,982.17 ล้านบาท และในปี 2560 สามารถจัดเก็บเงินฯได้ถึง 2,400 ล้านบาท
ถือเป็นสถิติการจัดเก็บเงินรายได้ที่มียอดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สนองต่อนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์
มุ่งเน้นความโปร่งใส...เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บเงินรายได้อุทยานแห่งชาติทุกแห่งทั่วประเทศส่งผลให้ยอดการจัดเก็บเงินรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นต้นมา
ธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานฯ บอกว่า สำหรับเงินรายได้ที่จัดเก็บได้แล้ว กรมฯได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานฯ สำหรับพิจารณาความเหมาะสมสำหรับโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ
นับรวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันรักษาป่า การจัดซื้อยานพาหนะ วัสดุ ครุภัณฑ์ต่างๆสำหรับใช้ในการปฏิบัติงานทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และสร้างขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานแห่งชาติฯได้มีการเสนอให้แก้ไขพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติเพื่อให้สามารถนำเงินรายได้ส่วนหนึ่งมาเป็นสวัสดิภาพ สวัสดิการให้แก่เจ้าหน้าที่โดยตรง
...
“คาดว่า...ภายหลังจากที่กฎหมายฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ก็จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ การดูแลรักษาทรัพยากรในอุทยานแห่งชาติ และสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภาคสนามมากยิ่งขึ้น” ธัญญาว่า
พลเอกสุรศักดิ์ บอกอีกว่า ในแต่ละปีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีการจัดเก็บเงินรายได้จากอุทยานฯ 147 แห่งทั่วประเทศเพื่อนำเงินมาบริหาร ปรับปรุง สนับสนุนกิจการต่างๆของกรมฯ
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา...ยุค “คืนความสุข” ระหว่าง คสช.เข้ามาบริหารประเทศโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นความโปร่งใสบริหารงบประมาณอย่างมีคุณภาพ ปรากฏว่า...เมื่อถึงช่วงปิดปีงบประมาณ พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา สามารถจัดเก็บรายได้มากถึง 1,982 ล้านบาท
ถือว่า...มากสุดตั้งแต่มีการจัดเก็บรายได้มา...มากกว่ากันหลายเท่าตัวจนน่าตกใจ
โดยมีตัวเลขเทียบเคียงช่วงปี 2556 เก็บได้ 662 ล้านบาท...ปี 2557 เก็บได้ 696 ล้านบาท และปี 2558 เก็บได้ 896 ล้านบาท...ก่อนที่จะขยับเป็นเท่าตัวในปีต่อมาคือมียอดเงินสูงเฉียด 2 พันล้านบาท
สำหรับปีงบประมาณ 2560 นี้มีการสรุปเงินรายได้จากอุทยานฯต่างๆทั่วประเทศแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆว่าปีนี้มียอดเงินสูงขึ้นอีกอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท
เมื่อจัดอันดับ 10 อุทยานยอดนิยมที่สามารถเก็บเงินรายได้สูงสุด ไล่เรียงกันไป ได้แก่ 1.หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี อยู่ที่ 669,107,180.68 บาท 2.อ่าวพังงา 390,217,349.91 บาท
3. หมู่เกาะสิมิลัน 307,481,394.49 บาท 4.เขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด 118,079,580.00 บาท 5. เอราวัณ 108,815,080.80 บาท 6. เขาใหญ่ 107,215,072.09 บาท
7. ดอยอินทนนท์ 72,646,213.00 บาท 8. เขาสก 63,000,830.00 บาท 9. หมู่เกาะลันตา 59,214,941.88 บาท 10.หมู่เกาะอ่างทอง 38,440,772.35 บาท
จี้หัวใจไปที่ประเด็น “รายได้” ในภาพรวมถือว่าทะลุเป้าถึงสองปีซ้อน ทั้งที่สถานที่ท่องเที่ยวประเทศไทยยังคงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่การจัดเก็บรายได้กลับแตกต่างกันมากถึง 100-300%...
เหตุผลหลักน่าจะมาจากการ “รั่วไหล”...เกิดการทุจริตในทางใดทางหนึ่งหรือไม่? ในอดีตจึงมียอดรายได้เฉลี่ยในแต่ละปีไม่ถึง 1,000 ล้านบาท
เปิดตำนานย้อนอดีต เมื่อหลายปีมาแล้ว ข่าวคราวที่สื่อนำเสนอเผยแพร่เกี่ยวกับ “อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่” ที่ถูกตรวจสอบ พบว่ารายได้ต่อวันหายไปหลายแสนบาท
ที่สำคัญ...พบการทุจริตรั่วไหลของเจ้าหน้าที่รัฐในการบริหารจัดการรายได้ของอุทยานแห่งชาติที่มาจาก 3 แหล่ง คือ...ค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติ ร้านค้าสวัสดิการ และการบริการอื่นๆ
ครั้งนั้นหากยังพอจะจำกันได้ คล้อยหลังเพียง 15 วันหลังจากมีการเข้าไปตรวจสอบเท่านั้น ปรากฏว่ารายได้การจัดเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพีก็มียอดเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 40 เปอร์เซ็นต์...คิดเป็นตัวเลขเพิ่มขึ้นถึงวันละกว่า 500,000 บาท
จากเดิมที่เคยจัดเก็บได้เพียงวันละ 80,000 บาท....เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เป็นสิ่งที่สังคมสงสัย
...
อย่างน้อยๆก็สะท้อนให้เห็นช่องโหว่ที่เกิดขึ้นกับระบบจัดเก็บรายได้ของอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่หลายภาคส่วนเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาแก้ปัญหา
ย้อนรอยข้อสงสัยที่เกิดขึ้น...ในปี 2557 ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวอยู่ที่ราวๆ 1 แสนคน แต่รายได้ที่อุทยานฯเก็บในปี 2556 ได้ 23 ล้านบาท...เพิ่มเป็น 26 ล้านบาทในปี 2557
นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเกือบ 50,000 คน เก็บค่าเข้าอุทยานฯได้ 3 ล้านบาท?
ทว่า...ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ กรมฯก็พยายามที่จะหาทางออกมาตลอด ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปรูปแบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมแบบเดิมๆ ถึงจะทำได้แต่อาจจะไม่เท่าทันเท่ากับระบบออนไลน์อัตโนมัติ
เมื่อเป็นเช่นนั้นการเพิ่มกลไกการจัดเก็บจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้ระบบเดินหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนไม่มีเล็ดลอด
ส่วนต่างอัตราค่าเข้าอุทยานฯระหว่างนักท่องเที่ยวไทย...นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ใช่น้อยๆ จากการสำรวจตรวจสอบเมื่อครั้งนั้น พบว่ารูปแบบการทุจริตจะใช้วิธีเวียนบัตร เข้าใจง่ายๆก็คือซื้อบัตรครั้งเดียวแต่เอาไปใช้อย่างต่ำ 7 วัน...โดยจ่ายเงินกันแบบลดหย่อน แบ่งผลประโยชน์กันเองตามแต่จะตกลง
ผลทำให้ “หางบัตร” ไม่ตรงกับจำนวนนักท่องเที่ยวจริง และทำให้รายได้จากการเก็บเงินค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติทางทะเลหายไปมากที่สุด
ตอกย้ำ...วัตถุประสงค์การจัดเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติ ตามระเบียบกรมอุทยานฯ ระบุชัดเจนว่า เพื่อใช้บำรุงรักษาทรัพยากรในเขตอุทยานแห่งชาติ เพื่อเป็นต้นทุนวิจัยทางวิชาการและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มาพักผ่อน โดยมีคณะกรรมการพิจารณาการใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติเป็นผู้กำหนดกรอบนโยบายในการจัดสรรงบประมาณ
...
“เงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ”...เม็ดเงินจำนวนนี้ ถ้าได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจะสามารถนำไปบริหารองค์กรให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ รักษาธรรมชาติอย่างยั่งยืน.