จากเด็กติดเกม เรียนพอใช้ สอบเข้าคณะวิทย์-คอมฯ หวังจะออกแบบเกม เรียน 4 ปีแล้วก็ยังไม่ได้ทำ
สุดท้ายจบอย่างงงๆ ส่งความรู้คืนอาจารย์
ก่อนจะมาเรียนทำอาหาร 1 ปี และทำงานเป็นเชฟอีก 1 ปี
แต่แล้วก็หักเหหันมาเป็นพ่อค้าคนกลางขายส่งวัตถุดิบก๋วยเตี๋ยวอยู่ 4 เดือน
และเปลี่ยนมาเปิดร้านขายยำเล็กๆ ได้ 3 เดือน
จากนั้น จึงออกเดินทางท่องเที่ยว ค้นหาอะไรใหม่ๆ และสิ่งที่ชอบ (จริงๆ)
ก่อนจะสอบเข้ามาเป็นสจ๊วตสายการบินดังได้ในที่สุด
ดูเหมือนว่าชีวิตของพวกเขาคงจะสบาย มีความสุข และคงจบที่อาชีพที่มีเงินเดือนสูงลิบ แต่หาใช่แบบนั้นไม่!
...กลับกลายเป็นพวกเขาได้ค้นพบว่า ที่ผ่านมาเป็นเพียงการเริ่มต้นค้นหาตัวเองเท่านั้น
แต่ ‘เกษตรกร’ ต่างหากที่เป็นทางที่ใช่ของพวกเขาจริงๆ 
ทั้งหมดที่เอ่ยมานี้ เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มเกษตรกรมือใหม่
ที่มีนามว่า ‘จรัส สีวิภาพงษ์’ วัย 29 ปี และเพื่อนสนิทสุดซี้ ‘ณนณ สุวรรณมณี’ วัย 35 ปี 
เจ้าของกระทู้พันทิป 'ประสบการณ์ตรงจากพ่อครัว>เชฟ>สจ๊วต มาเป็นเกษตรกร โอ้โห มายหลอด ไม่เห็นเหมือนที่คิดเลย'

...

จุดเริ่มต้นของความคิด....ผมนี่แหละ! จะเป็นกระดูกสันหลังของชาติ

สองคู่ซี้ บอกว่า ไอเดียครั้งนี้เกิดจากเมื่อครั้งไปเที่ยวเขาใหญ่ และไปเจอฟาร์มชื่อว่า ‘ฮาร์โมนี่ไลฟ์’ เจ้าของฟาร์มชื่อโอกะซัง โดยมีการเปิดคอร์สสอนเกี่ยวกับออร์แกนิก โดยตอนแรกทั้งคู่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย และยอมรับว่าไม่รู้อะไรดลใจให้ไปลงเรียนกับเขาเสียอย่างนั้น ...พอเรียนๆ ไปก็กลายเป็นว่า เกิดจุดประกายไอเดียต่างๆ ขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด และได้เริ่มศึกษาเรื่องการเกษตรนับแต่นั้นมาเกือบ 4 ปี

“ทำไมถึงมาเป็นเกษตรกรเหรอครับ...ในชีวิตผมได้ลองทำอะไรมาแล้วหลายอย่าง ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเคยทำ มันได้แค่กับผมคนเดียว เหมือนขายของก็ได้เงิน แต่เกษตรกรเราได้ความมั่นคงของตัวเรา ความมั่นคงทางด้านอาหารของประเทศ และได้ตอบแทนสังคมส่วนหนึ่ง อย่างบางฟาร์มได้เปิดสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กชาวเขา หรือเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้วยนะ” จรัส บอกกับทีมข่าว

การทำเกษตรไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนลองทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มองเรื่องนี้อย่างไร? ณนณ ตอบว่า “อยู่ที่เขาเองรู้จักมากน้อยแค่ไหน และเราก็ศึกษามานาน 3-4 ปี และศึกษาวิถีชีวิตของเกษตรกรสมัยก่อนว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร และมาปรับใช้กับตัวเอง และตอนนี้ที่ศึกษาอยู่คือ การทำเกษตรแบบญี่ปุ่น โดยเจ้าของทฤษฎีคือ มาซาโนบุ แตกต่างจากบ้านเรา คือ ของเราเน้นเครื่องไม้เครื่องมือและแรงกาย แต่เกษตรแบบธรรมชาติของมาซาโนบุ จะเน้นให้ธรรมชาติดูแลกันเอง”

ปล่อยให้ธรรมชาติดูแลกันเอง...แนวคิดคนหนุ่มไฟแรง

ทั้งคู่บอกด้วยว่า การรู้จักธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ รู้จักแมลง รู้จักว่าพืชชนิดนี้อยู่อย่างไร และเกื้อกูลกับพืชชนิดไหนบ้าง ยกตัวอย่างในฟาร์มของพวกเขา กำลังปลูกอะโวคาโด และดูว่าศัตรูพืชคืออะไร เมื่อทราบแล้วก็ต้องศึกษาอีกว่า เจ้าศัตรูพืชนี้พ่ายแพ้ให้กับแมลงตัวไหน โดยแพ้มดแดงก็เอามดแดงไปใส่ ส่วนในดินจะไม่ใส่ปุ๋ยเคมี แต่จะใช้ปุ๋ยจากการปลูกพืชคลุมดิน เช่น ถั่ว ซึ่งดูแลง่ายมาก ไม่ต้องตัดหญ้า ไม่ต้องพรวนดิน ไม่ต้องจ้างคนงานมาใส่ปุ๋ย ไม่ต้องรดน้ำบ่อยๆ ปล่อยให้ธรรมชาติดูแลกันเอง

เป็นสจ๊วตอยู่ดีๆ มาเป็นเกษตรกร ที่บ้านว่าอย่างไร?

ณนณ เล่าก่อนว่า “ที่บ้านผมเป็นเกษตรกรอยู่แล้วครับ ทำนา ทำสวนอยู่ภาคใต้ แต่ตอนเด็กๆ เห็นพ่อแม่เหนื่อย ผมไม่อยากเป็น แต่พอได้มาเรียนรู้ก็พบว่า สามารถสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับเราได้ ก็เลยลองทำดู และก็ชอบด้วยครับ ส่วนที่บ้านผมเขาบอกว่า คิดดีแล้วเหรอ เขาเห็นว่าเราเหนื่อย เขาเคยเหนื่อยมาก่อน ผมก็ต้องอธิบายว่า จริงๆ แล้วไม่ได้เหนื่อยอย่างที่คิดนะ เอาทฤษฎีในหลวงกางให้เขาดู”

...

จรัส เล่าต่อว่า “ในส่วนของผมที่บ้านเป็นครอบครัวคนจีนทำค้าขาย พ่อแม่ไม่ได้สนับสนุนเลย ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสร้างรายได้และความมั่นคง รวมทั้งเป็นสิ่งที่ชอบ ที่บ้านถึงจะยอมรับ ซึ่งตอนแรกพ่อแม่อยากให้ผมเป็นนักบิน แต่ผมให้เหตุผลไปว่า มันไม่ใช่สิ่งที่ทำแล้วมีความสุข แม่ก็เห็นว่าเวลาทำอะไรที่ไม่มีความสุขมันเป็นอย่างไร สุดท้ายแม่ก็เลยยอมให้มาเป็นเกษตรกร”

อย่างไรก็ตาม สองหนุ่มพูดถึงความแตกต่างระหว่าง 2 อาชีพนี้ด้วยว่า งานสจ๊วตเป็นงานที่เหนื่อย แต่ไม่ใช่สิ่งที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเอง เป็นงานที่มีแพลนประจำว่าในแต่ละครั้งที่ทำงานจะต้องทำอะไรบ้าง ขณะที่งานเกษตรเหนื่อยแต่สนุก มีปัญหาให้แก้ได้ตลอด และต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมทุกวัน

...

จากเชฟ สู่พ่อค้าขายยำ ขับรถส่งวัตถุดิบ ขยับเป็นสจ๊วต นำมาปรับใช้ในการทำเกษตรได้ไหม?

จรัส ตอบคำถามนี้ว่า “ช่วยได้ครับ อย่างเช่นการเป็นเชฟ สอนให้เราอดทน และมีความรู้ในเรื่องวัตถุดิบ เราจะรู้เลยว่าช่วงนี้พืชประจำฤดูมีอะไรบ้าง และพืชชนิดใดที่กำลังเป็นที่ต้องการในท้องตลาด หรือประชาชนคนทั่วไปนิยมการบริโภคอะไร ส่วนเรื่องขายของ ทำให้เราได้เห็นความต้องการของตลาดมากขึ้น ส่วนงานสจ๊วตยังช่วยในเรื่องการเข้าถึงชุมชนด้วยครับ และจริงๆ ผมว่า การที่ผมได้ทำงานดี ทำให้ผมมีโอกาสได้ทำความฝันให้เป็นจริงเร็วขึ้นด้วยนะครับ เพราะการจะทำเกษตรต้องใช้เงินลงทุนด้วย ซึ่งเป็นเงินจากการทำงานนี้ครับ”

ขณะที่ ตอนนี้ทั้งคู่ยังทำงานประจำเป็นสจ๊วต โดยจะแบ่งเวลาเดือนละ 10-15 วัน มาดูแลไร่เล็กๆ ของพวกเขา เมื่อถามถึงอนาคตว่าจะมีโอกาสทิ้งเงินหลักแสนมาสู่เกษตรกรเต็มตัวหรือไม่นั้น ทั้งคู่มีความเห็นตรงกันว่า “แน่นอนครับบบบ! และอาจจะเร็วๆ นี้ มันไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว เรามองว่าเป็นความสุข และเราคงไม่สามารถเป็นสจ๊วตไปจนแก่ แต่สิ่งไหนที่เราสามารถอยู่กับมันได้จนลมหายใจสุดท้าย และมันสามารถที่จะตอบแทนกับสังคมได้ในวันที่เรายิ่งแก่ขึ้นๆ ครับ”

...

มุ่งหน้าแสวงหาที่ดิน...บังเอิ๊ญ บังเอิญ นี่แหละคือไร่ของเรา!

การเป็นสจ๊วตเรามีแผนไฟลต์บินอยู่แล้ว แต่การเป็นเกษตรกรเราจะต้องศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ระบบน้ำ ระบบดิน ซึ่งมันแตกต่างกันมาก แต่สิ่งที่อาชีพสจ๊วตเกื้อหนุนกับการเป็นเกษตรกร คือ ทำให้เข้ากับชุมชนได้ง่ายขึ้น มีเวลาว่างช่วงที่ไม่มีไฟลต์บิน และที่สำคัญทำให้มีเม็ดเงินในการลงทุน เพื่อไปให้ถึงฝันได้เร็วขึ้นด้วย

และกว่าจะค้นพบตัวตนก็ว่ายากแล้ว แต่การจะหาที่ดินที่เหมาะสมและเพียงพอกับเงินในกระเป๋า นับว่ายากกว่ามาก สองหนุ่มใช้เวลาปีกว่าในการเสาะแสวงหาที่ เริ่มจาก ราชบุรี ระยอง เขาใหญ่ ลพบุรี และก็บรรลุว่า ราคาที่ดินช่างสวนทางกับเงินเดือนของพนักงานทั่วไป ที่ดินดีๆ เหมาะกับการทำเกษตรกลับกลายเป็นบ้านจัดสรร คอนโด หรือห้าง ทั้งที่ความมั่นคงของประเทศส่วนใหญ่มาจากเรื่องปากท้อง

กระทั่งในที่สุด วันสุดท้ายที่จะกลับ กทม. ทั้งคู่ไปเจอเพจขายที่ผืนหนึ่งที่ลำพูน อยู่ใกล้เชียงใหม่ พอไปถึงต่างก็ตกตะลึง และพบว่า "นี่แหละที่ของเรา" จนวันนี้ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้ว ที่พวกเขาได้ที่ดินผืนนี้มาด้วยความไม่ได้ตั้งใจ เขาบอกว่า “มันบังเอิญไปหมดทุกอย่าง บังเอิญว่าเราเปิดเว็บนั้นเจอ...บังเอิญเจ้าของขาย...บังเอิญว่าราคาถูก...บังเอิญว่าอยู่ใกล้เชียงใหม่ เพราะเราเข็ดแล้วกับการต้องเดินทางไกลเพื่อไปไร่ บังเอิญที่มันสงบ...บังเอิญที่ถูกใจเรา...”

พวกเขายังช่วยกันเล่าด้วยว่า “วันแรกที่พวกเราเห็นไร่ มันยังเป็นที่ทำนาอยู่ เจ้าของเก่ารักที่ผืนนี้มาก แต่ท่านเสียไปแล้วเลยยกมรดกให้ลูก ซึ่งลูกหลานก็เป็นคนกรุงเทพฯ เต็มตัว ไม่มีเวลาหรือโอกาสมาทำนาต่อ เราเลยสัญญากับเจ้าของที่ที่เสียไปว่า เราจะดูแลที่ผืนนี้ และรักที่ผืนนี้เหมือนที่แกรัก ไม่รู้สิครับ บางทีผมก็รู้สึกว่าที่ผืนนี้เลือกเรา มากกว่าที่เราจะเลือกที่ผืนนี้เสียอีก จากความบังเอิญอะไรหลายๆ อย่าง จนเราแอบคิดว่า เจ้าของที่คนเก่าแกคงเอ็นดูเรามั้ง (หัวเราะ)”

วางแผนการทำเกษตร เจาะความคิดสองหนุ่ม คิดจะทำอะไรกับไร่นี้บ้าง?

"The rabbit's hole" หรือ “ไร่โพรงกระต่าย” ในเนื้อที่ 20 ไร่ ของสองหนุ่มสจ๊วตรูปหล่อ ได้วางแพลนไว้แล้วว่า จะทำเกษตรแบบออร์แกนิก ไม่ใช้สารเคมีหรือสิ่งแปลกปลอมใดๆ ทั้งสิ้น โดยพืชผลที่จะปลูก มีอะโวคาโด พริก และพืชหมุนเวียนอย่างข้าว หรือผัก แล้วแต่ฤดูกาลที่จะทำ และจะมีเตาเผาเซรามิกอยู่ในไร่ด้วย

นอกจากนี้ ยังวางแผนจะทำโฮมสเตย์ประมาณ 4 หลัง เพื่อรองรับผู้ที่สนใจในงานเกษตร รวมทั้งมีคุกกิ้งสตูดิโอ โดยจะมีเพื่อนมาร่วมวงในการทำด้วย

หลายคนคิดว่าการทำเกษตร คือ การขายพืช ขายผัก สำหรับไร่โพรงกระต่ายแห่งนี้คงไม่ตรงใจของใครหลายคน...“เราทำเกษตร เพื่อที่จะเอาผลิตผลของเรามาสร้างมูลค่า เพราะคนที่ทำเกษตรแล้วรวยนั้น เขารวยมาจากการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เราจะเน้นในเรื่องการแปรรูปหรือการขยายตัวตรงนี้มากกว่า” ทั้งคู่กล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น

สำหรับเป้าหมายสูงสุดในความคิดของทั้งคู่ คือ การทำไร่ออร์แกนิกที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ โดยอยากให้คนรุ่นใหม่เกิดทัศนคติที่ไม่จำเป็นต้องไปเปิดร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือตามกระแสสังคมเสมอไป ขณะที่ทรัพยากรของประเทศมีความยั่งยืน สมบูรณ์อยู่ตรงนี้ และที่สำคัญคือ “การทำเกษตร” ไม่ได้ “ล้าสมัย” หรือไม่ได้ “เชย” อย่างที่ใครหลายคนคิด!

ความเป็น “เกษตร” สอนอะไรบ้าง?

“สอนเยอะมากกกกกกก....(จรัส ลากเสียงยาว)” ก่อนอธิบายความหมายของน้ำเสียงที่กล่าวต่อว่า “สอนให้รู้จักกับประโยคที่ว่า ‘คุณต้องเสียบางอย่างเพื่อที่จะได้บางอย่างมา’ และไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ สอนให้เรารู้จักรอพืชผลแต่ละต้นต้องใช้เวลากว่าจะออกผล มันไม่ใช่เครื่องจักรที่เราจะสามารถเร่งการผลิตได้ ถามว่าอุปสรรคเยอะไหม มันก็มีทุกงานครับ แต่ถ้ามันเป็นงานที่เรารักแล้วมันก็เต็มใจที่จะสู้ต่อไปครับ”

ขณะที่ ณนณ อธิบายเพิ่มเติมว่า “คือเรามีนักปราชญ์ และคนเก่งที่สะสมภูมิความรู้มากมายทั่วประเทศไทย บางคนซ่อนตัวอยู่หลังภูเขาอันห่างไกล บางคนอยู่ในป่าที่คนไม่รู้ คนในเมืองมักคิดว่าพวกเขาเป็นแค่คนธรรมดา แต่จริงๆ แล้วเราพบว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นคลังความรู้อย่างดีที่พร้อมและรอให้คนเมืองอย่างเราได้ศึกษา การออกเดินทางทำให้พวกเราได้พบนักปราชญ์เหล่านี้ อันนี้คือสิ่งที่เราค้นพบหลังจากมาทำเกษตรครับ”

ยกย่องในหลวง ร.9 ดูงานโครงการหลวง เดินตามรอยวิถีเกษตร

ถามถึงไอดอลของทั้งสองหนุ่มบ้าง โดยทั้งคู่ตอบเหมือนกันว่าคือ ในหลวง รัชกาลที่ 9 จรัส ขยายความให้ฟังว่า “เวลา 2-3 ปี ที่ไปเที่ยวมา พวกเราตามรอยโครงการหลวงเกือบทุกที่เลยครับ ตอนที่เราตามรอยไปทุกที่ เราเห็นสิ่งที่คนไทยหลายคนไม่เคยเห็นครับ ในหลวงท่านทรงพระปรีชาสามารถมาก จุดเด่นของประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม กังหันชัยพัฒนา หรือหญ้าแฝก เป็นแนวความคิดจากท่าน”

ณนณ อธิบายเสริมว่า “เราใช้แนวทางของในหลวงเป็นแนวทางให้เราศึกษาด้านเกษตร และที่เหลือเราศึกษาเพิ่มเติมว่า เราเหมาะกับเกษตรแบบไหน แต่ใช้เส้นทางเดินตามในหลวง ซึ่งส่วนใหญ่ในหลวงท่านจะเน้นในเรื่องของการเกษตร เพราะมันคืออู่ข้าวอู่น้ำในประเทศไทย มันคือปากท้องของพวกเรา เพราะท่านเคยบอกว่า ไม่อยากให้ประเทศเราต้องนำเข้าข้าวมากิน”

ท้ายที่สุดของสกู๊ปชิ้นนี้ ณนณและจรัส สองหนุ่มเกษตรกรไฟแรง ยังฝากไปถึงแฟนๆ ผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์ด้วยว่า “หลายคนไม่ค่อยให้ความสนใจกับผักหรืออาหารปลอดสารพิษ และมักจะคิดว่าของเหล่านี้มีราคาแพง แต่จริงๆ แล้วมันคือสิ่งที่มาจากธรรมชาติ และอยากให้ลองปลูกเอง ได้รู้จักกับพืช กับธรรมชาติบ้างครับ จริงๆ ออร์แกนิกต้นทุนไม่เยอะ เพราะเราไม่ต้องลงทุนไปกับยาฆ่าแมลงกับปุ๋ยอะไรเลย เพียงแต่กว่ามันจะทำได้ผลผลิตมันน้อย มันไม่ได้เร่งดอกเร่งใบใส่ปุ๋ยก็เลยได้ปริมาณน้อย แต่เชื่อว่าถ้าทุกคนหันมาปลูกพืชแบบออร์แกนิก ราคามันก็คงลงมาแน่ๆ”

หากใครอยากติดตามชีวิตเกษตรแบบละมุนละไมสไตล์หนุ่มหล่อไฟแรงอย่าง “ณนณ” และ “จรัส” หรืออยากดูความเติบโตของไร่ "The rabbit's hole" หรือ “ไร่โพรงกระต่าย” สามารถติดตามหรือพูดคุยให้กำลังใจพวกเขาได้ทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก กบฏน้อยจากดาวบี612


ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน