ถ้าตำรวจมัวแต่นั่งก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือแชตไลน์

แล้วจะรู้หรือไม่ว่าคนร้ายหนีไปทางไหน พยานเป็นใคร มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าบ้าง

พ.ต.อ.ศักดิ์รพี เพียวพนิช รอง ผบก.ภ.จ.ชลบุรี ถึงเปลี่ยนแนวคิดแนวปฏิบัติ วางระบบสายตรวจใหม่ ปัดฝุ่นระบบเก่าเน้นให้ตำรวจใช้ “วิทยุสื่อสาร” เป็นหลัก

เพื่อจะได้รู้ว่า ลูกน้องอยู่ไหน ทำอะไร และรู้เหตุการณ์ในพื้นที่เพื่อเดินทางไประงับเหตุ หรือจับกุมคนร้ายได้ทันท่วงที

กำชับมาตรการเชิงรุกป้องกันปราบปรามอาชญากรรมเอาทุกแผนกงานมาเป็นตำรวจจริงๆ ไม่ใช่รอเหตุเกิดแล้วค่อยตามจับ กระทั่งชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์ด่า ตำรวจเล่นแต่ไลน์ ไม่เอาใจใส่ในหน้าที่ตัวเอง

เช่น สถิติรถ จยย.หายมากในพื้นที่ จ.ชลบุรี เป็นรถยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นซูมเมอร์เอ็กซ์ และรุ่นเอ็มเอสเอ็กซ์ 125 ขณะที่รถ จยย.ใช้ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ จะเป็นยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ

ตำรวจสายตรวจที่ยึดรถต้องสงสัยต้องประสานฝ่ายสืบสวนขยายผลไปถึงร้านซ่อม ดูละเอียดตั้งแต่ใบอนุญาต ชื่อที่อยู่คนเอารถ จยย.มาซ่อม มีเอกสารครอบครองถูกต้อง หรือมีที่มาที่ไปอย่างไร

หลังจากคุมเข้มการปฏิบัติใช้วิทยุสื่อสารประสานงาน “เน้นตรวจเชิงรุก” สามารถตามยึดรถ จยย.ต้องสงสัยไป 1,438 คัน ทำให้ตัวเลขคดีเกี่ยวกับทรัพย์ในเขตพื้นที่ จ.ชลบุรี ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อวางระบบทุกโรงพักเป็นแนวเดียวกันแล้ว พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบก.ภ.จ.ชลบุรี จึงนำไปประกอบ “แผนพิทักษ์ภัยประชาชน” เสนอ พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผบช.ภ.2 ระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรี

ใช้กำลังพลในการปฏิบัติ 3,064 นาย ภายใต้การควบคุมของ รอง ผบก. ประกอบด้วย พ.ต.อ.พิสิฏฐ โปรยรุ่งโรจน์ พ.ต.อ. รณชัย จินดามุข พ.ต.อ.ศักดิ์รพี เพียวพนิช พ.ต.อ.สีห์ศักดิ์ สร้อยศรี พ.ต.อ.เมฒาวิศ ประดิษฐ์ผล และ พ.ต.อ.เอกภพ อินทวัฒน์

...

มุ่งความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม วัตถุระเบิด คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ ชีวิตร่างกายและเพศ ด้วยการออกปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย แหล่งชุมชน หมู่บ้าน สถานบริการ โรงงาน สถานศึกษา

ระงับป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดกับประชาชนและนักท่องเที่ยว.

สหบาท