แชร์ว่อน แถลงการณ์องค์กรพระสังฆาธิการฯ อัด "พงศ์พร" ผอ.พศ.ให้ข่าวเงินทอนเหมือนพระผิด ชวนทุกวัดขึ้นป้ายไม่รับงบฯ พศ. จนกว่าผอ.พศ.จะแสดงความรับผิดชอบ ส่วนศูนย์พิทักษ์ฯ ชี้ควรแก้ปัญหาเงินทอนแบบกัลยาณมิตร
วันที่ 17 ก.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในกลุ่มไลน์ของพระสังฆาธิการ กลุ่มคณะสงฆ์ระดับต่างๆ ได้มีการส่งต่อ แถลงการณ์องค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทย ฉบับที่ 2/2560 เรื่องการทุจริตเงินอุดหนุนพัฒนาวัดและเงินอุดหนุนการศึกษาสงฆ์ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
สำหรับแถลงการณ์ดังกล่าวไม่มีการลงนามรับรองจากบุคคลใด มีเพียงลงชื่อว่ามาจากกลุ่มองค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทย โดยมีข้อความระบุโดยสรุปว่า ตามที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ.ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการทุจริตเงินอุดหนุนพัฒนาวัดทั่วราชอาณาจักรทั้งฝ่ายธรรมยุต และมหานิกาย เสมือนเจ้าอาวาสวัดต่างๆ เป็นผู้ทุจริตโกงกินงบฯแผ่นดินเสียเอง ทำให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระพุทธศาสนาโดยภาพรวม ทั้งที่ผลสอบข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏ การให้ข่าวแบบคลุมเครือของ ผอ.พศ. แสดงถึงความบกพร่องด้านภาวะผู้นำ หลักธรรมาภิบาล และวุฒิภาวะในฐานะผู้บริหารระดับสูงขององค์กรทางพระพุทธศาสนา
พฤติการณ์ดังกล่าว กรรมการมหาเถรสมาคมที่ถูกพาดพิง และผู้มีหน้าที่รับผิดชอบกำกับดูแลการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ตั้งข้อสังเกตให้คำแนะนำแก้ปัญหาให้ถูกจุดให้รีบแก้ไขปัญหาภายใน พศ.โดยเร็ว มากกว่ามุ่งให้ข่าวสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระพุทธศาสนาโดยภาพรวม ดังนั้นองค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทยจึงแถลงการณ์มาเพื่อให้ทุกวัด และโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาทุกแห่งภายในประเทศและต่างประเทศขึ้นป้ายไม่ขอรับเงินอุดหนุนใดๆ จาก พศ. จนกว่าจะเปลี่ยนตัวผู้นำ พศ. หรือผู้นำ พศ.แสดงความรับผิดชอบในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันใน พศ.เชิงประจักษ์เสียก่อน
...

เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อขอสัมภาษณ์ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. แต่ทาง ผอ.พศ.ยังไม่รับสาย จากนั้นจึงได้ติดต่ออีกครั้งปรากฏว่าติดต่อไม่ได้
ด้านพระครูปลัดกวีวัฒน์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสวิหาร ในฐานะรองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่จะมีการนำมาตรา 44 มาพิจารณาแก้ปัญหาเงินทอนงบฯบูรณปฏิสังขรณ์วัด ว่า สำหรับประเด็นดังกล่าวก็ถือว่าเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายห่วงใย ส่วนตัวเห็นด้วยในการแก้ปัญหาดังกล่าวทั้งระบบและจัดการต้นตอของปัญหาให้ตรงประเด็น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการใช้งบฯ ซึ่งเป็นภาษีของชาติ แต่การจะแก้ปัญหาดังกล่าวซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายก็ยอมรับแล้วว่ามีปัญหา ไม่ได้มีผู้ใดคัดค้านในการแก้ปัญหา เพราะมีทั้งประจักษ์หลักฐานและพยานบุคคลที่ชัดเจน ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่หลายฝ่ายห่วงใย ดังนั้นการแก้ปัญหาควรจะเป็นไปด้วยความมีกัลยาณมิตรต่อคณะสงฆ์ ที่ขณะนี้ดูเหมือนจะเป็นจำเลยร่วมในสังคม ทั้งๆ ที่จริงแล้วหน่วยงานของรัฐอย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีก็มีปัญหาเช่นกัน
ทั้งนี้ถ้าจะบกพร่องก็มองว่าควรจะร่วมรับผิดชอบทั้งอาณาจักรและศาสนจักร ขอยกตัวอย่างในวงการทหาร เมื่อเกิดปัญหามีข่าวทุจริตทหารก็มีอำนาจในการตั้งคณะกรรมการสอบสวนในเบื้องต้น น้อยครั้งที่องค์กรอิสระอย่าง ดีเอสไอ ปปช. ปปป. หรือ สตง. จะลุกขึ้นเปิดโปงวงการทหาร เพราะทหารเป็นสถาบันที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ ถ้าขาดความเชื่อมั่นก็จะส่งผลกระทบโดยรวม เช่นเดียวกับคณะสงฆ์ เพราะพระพุทธศาสนาถือได้ว่าเป็น 1 ใน 3 สถาบันหลักของชาติเช่นกัน
ขณะที่พระราชวรมุนี เลขานุการคณะกรรมกรรมการฝ่ายศาสศึกษา ในฐานะคณะกรรมการประสานงานแผนยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา กล่าวว่า ขณะนี้คณะสงฆ์และพระสังฆาธิการทั่วประเทศ ตื่นตัวในการทำแผนยุทธศาสตร์ปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาสู่การปฏิบัติ โดยคณะสงฆ์ได้ประชุมขับเคลื่อนการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาไปแล้ว 3 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน จะประชุมวันที่ 19 ก.ค.นี้