“สุวรรณภูมิ” จับมือ ตำรวจ–ทหาร คุมเข้มความปลอดภัยสนามบิน หลังได้รับแจ้งพบโดรนบินใกล้สนามบิน 2 คืนติด ย้ำผู้ฝ่าฝืนโทษร้ายแรง ฝ่าฝืนถึงขั้นสูงสุดจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ด้านรัฐไฟเขียวจัดหา Anti-drone ทันสมัย ย้ำไม่กระทบนักท่องเที่ยว ด้านตำรวจสั่งตั้งจุดตรวจค้นรอบสนามบินตลอด 24 ชั่วโมง ตรวจสอบบุคคล ยานพาหนะ โกดังสินค้า และสถานที่ต้องสงสัย
ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วันนี้ (22 ธ.ค. 68) เวลา 15.00 น. นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมด้วย พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมแถลงข่าวถึงมาตรการป้องกันและรับมือการบินโดรนโดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังตรวจพบความเคลื่อนไหวของโดรนในพื้นที่ใกล้เขตการบินเมื่อช่วงค่ำคืนวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะยังไม่รุกล้ำเข้าสู่เขตสนามบินโดยตรง แต่ถือเป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการเดินอากาศอย่างมีนัยสำคัญ
นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ภายหลังได้รับแจ้งเหตุ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ประสานสถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เข้าตรวจสอบทันที และจากการรวบรวมข้อมูลพบว่า มีการบินโดรนในพื้นที่ใกล้เคียงสนามบินอย่างน้อย 2 คืนติดต่อกัน โดยส่วนใหญ่ตรวจพบทางทิศตะวันออกของสนามบิน บริเวณแนวรั้วติดกองส่งน้ำ ในช่วงเวลาประมาณ 19.00–21.00 น. ลักษณะการบินพบเพียงครั้งละ 1–2 ลำ สลับกันขึ้นบิน ใช้เวลาต่อครั้งประมาณ 10–20 นาที ไม่ได้มีจำนวนมากตามกระแสข่าวลือก่อนหน้านี้ และยังไม่สามารถสรุปแรงจูงใจได้ชัดเจนว่าเป็นความคึกคะนองหรือเกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความมั่นคง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนอย่างละเอียด
“ผู้ที่ฝ่าฝืน นำโดรนขึ้นบินในเขตพื้นที่การบินของสนามบินถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรงในเขตความมั่นคงสูงสุด มีบทลงโทษตามกฎหมายสูงสุดถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ดังนั้นฝากไปถึงผู้ที่จะทำการใด ๆ ในพื้นที่สนามบินซึ่งเป็นเขตความมั่นคงหรือฝ่าฝืนคำสั่ง จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย การประชาสัมพันธ์บทลงโทษดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องปรามและสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน ไม่ให้กระทำการโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือฝ่าฝืนกฎหมายโดยเด็ดขาด” นายกิตติพงศ์ กล่าว
...
นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ในด้านนโยบายและแผนการดำเนินงานนั้น เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นวาระเร่งด่วน และมีมติอนุมัติให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการจัดหาอุปกรณ์ตรวจจับและต่อต้านโดรน หรือ Anti-drone ที่มีความทันสมัยที่สุดมาใช้เป็นของหน่วยงานเอง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามในอนาคต โดยกำชับให้เร่งรัดกระบวนการจัดหาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ระหว่างนี้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังคงได้รับการสนับสนุนยุทโธปกรณ์จากหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ประสานงานกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อสื่อสารสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการว่า สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอื่นในความรับผิดชอบของ ทอท. มีมาตรการและมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยในระดับสากล และสามารถดูแลความปลอดภัยในการเดินทางได้อย่างเต็มที่
ด้าน พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 1 เปิดเผยว่า ในส่วนของการปฏิบัติงานภาคสนาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับอย่างเข้มข้น มีการตั้งจุดตรวจค้นรอบสนามบินตลอด 24 ชั่วโมง ตรวจสอบบุคคล ยานพาหนะ โกดังสินค้า และสถานที่ต้องสงสัย รวมถึงเข้าตรวจสอบร้านค้าที่จำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวข้องกับโดรน ตลอดจนเข้าพบผู้ครอบครองโดรนที่ขึ้นทะเบียน ร้านค้า และสถานที่พักอาศัยในพื้นที่ เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อกฎหมายและป้องกันการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง
นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการร่วมสามเหล่าทัพ” ประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อบูรณาการการเฝ้าระวัง ตรวจจับ และสกัดกั้นโดรนอย่างเป็นระบบ โดยมีผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการยุทธการ ขณะที่ตำรวจจะปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธการเดียวกัน พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลข่าวกรองระหว่างหน่วยงานอย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน หน่วยงานด้านความมั่นคงยังได้ออกมาชี้แจงกรณีที่พบโดรนตกในพื้นที่บางกง ซึ่งถูกนำไปเชื่อมโยงกับประเด็นความปลอดภัยจนสร้างความตื่นตระหนก โดยยืนยันหลังตรวจสอบแล้วว่าเป็นเพียงโดรนของเล่นเด็ก ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ไม่สามารถนำมาใช้ก่อเหตุร้าย และไม่เกี่ยวข้องกับภัยความมั่นคงแต่อย่างใด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนอย่าหลงเชื่อหรือส่งต่อข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
สำหรับกระแสข่าวเรื่องรถยนต์ของชาวต่างชาติและบุคคลต้องสงสัยในพื้นที่ใกล้เคียง ขณะนี้ยังไม่มีรายงานยืนยันอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนและฝ่ายข่าวกรองลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน เพื่อป้องกันเหตุแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยย้ำว่ามาตรการทั้งหมดเป็นการป้องกันล่วงหน้า เพื่อรักษาความปลอดภัยสูงสุดของสนามบินซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ และขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการ พร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อยโดยรวมของสังคม
อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม