"ไชยชนก" ถอดบทเรียนมหาอุทกภัยใต้ เดินเครื่องยกระดับระบบเตือนภัยไทยสู่ระดับโลก ใช้ดาวเทียม–AI เพิ่มความแม่นยำ เร่งบูรณาการข้อมูล พร้อมจัดงบฯ ฟื้นเครือข่ายวิทยุสื่อสาร ตามรอยในหลวง ร.9
นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงการถอดบทเรียนจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยภาคใต้ และการดำเนินโครงการความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ ระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยา กับ Tomorrow.io เพื่อยกระดับระบบการเตือนภัยของประเทศไทย เพราะการใช้เงินในการฟื้นฟูเยียวยาหลังเกิดภัยพิบัติมักมีจำนวนมหาศาลกว่าเงินที่ใช้ในการป้องกันเสมอ จึงถึงเวลาที่ต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันและวางแผนจัดการภัยพิบัติในอนาคต
นายไชยชนก กล่าวว่า ขณะนี้เรากำลังก้าวไปสู่ New Normal ของสภาวะอากาศของโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งข้อมูลจากหน่วยงานนานาชาติอย่าง NOAA ที่ระบุว่าปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลมา และพบสัญญาณการละลายน้ำแข็งในระดับประวัติการณ์ สะท้อนว่าความแปรปรวนของภูมิอากาศจะทวีความรุนแรงและคาดการณ์ได้ยากขึ้น เมื่อเข้ารับตำแหน่งในวันแรก ได้มอบนโยบายชัดเจนให้กรมอุตุนิยมวิทยา ยกระดับเครื่องมือพยากรณ์อากาศและปรับระบบการนำเสนอข้อมูลใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ประเทศไทยพร้อมรับภัยที่รุนแรงและผิดรูปแบบกว่าอดีต
นายไชยชนก กล่าวว่า หลังการศึกษาจากหลายฝ่าย ทีมงานพบว่า Tomorrow.io เป็นระบบพยากรณ์อากาศที่ดีที่สุดในโลกเวลานี้ ซึ่งได้มีการประสานกับญี่ปุ่นทั้งเรื่องแผ่นดินไหวสึนามิ ภูเขาไฟใต้ทะเล และน้ำท่วม ซึ่งก็ขอโทษประชาชนที่ดำเนินการอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ทันท่วงที ทำให้รัฐบาลและพวกเราทุกคนได้ตระหนักและปรับปรุงความคิดให้เป็นวาระแห่งชาติ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการรับมือกับวันข้างหน้า ซึ่งปัจจุบัน Tomorrow.io เป็นระบบการพยากรณ์อากาศ อันดับหนึ่งของโลก โดยใช้เทคโนโลยี Low-Orbit Satellite คือดาวเทียมวงโคจรต่ำ ปัจจุบันมี 11 ดวง 9 ดวง ใช้เทคโนโลยี Microwave Sounder ในการตรวจสอบสภาวะอากาศและความชื้นอย่างละเอียด สามารถทะลุเมฆได้ และจะเพิ่มความละเอียดในการมีข้อมูลพยากรณ์ทุก 3 เดือน
...
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มจะใช้ AI ในการประมวลผลและวิเคราะห์ ข้อมูลทั้งหมดจากดาวเทียม ข้อมูลจากกรมอุตุฯ, สทนช. และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อจำลองสถานการณ์ได้หลากหลายมิติในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมแสดงข้อมูลแบบ Confidence Level เพื่อให้รู้ระดับความมั่นใจของการเกิดเหตุเป็นเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจและประชาชนสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น โอกาสน้ำท่วม ฟ้าผ่า ลมพายุ ฯลฯ ได้ในระดับรายตำบล รายจังหวัด และในอนาคตสามารถวิเคราะห์เจาะจงเป็นพื้นที่ได้แม่นยำมากขึ้น เช่น ตลาด ให้ประกอบการตัดสินใจว่าวันนี้ควรจะออกไปหรือไม่ ฝนจะตก ฟ้าจะผ่าหรือไม่ ซึ่งระบบนี้จะไม่ทดแทนการทำงานของทุกหน่วยงานที่มีอยู่ แต่จะทำให้ทุกฝ่ายมีชุดข้อมูลร่วมที่ละเอียดขึ้นและวิเคราะห์ตรงกัน
“ช่วงนี้จะทดลองใช้ระบบร่วมกับ Tomorrow.io เป็นเวลา 3 เดือนแรกโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อพิสูจน์ศักยภาพว่าเหมาะสมกับระบบไทยจริงหรือไม่ และตรวจสอบว่าข้อมูลไม่กระทบความมั่นคง ก่อนจะนำเข้า ครม.เพื่อพิจารณาสัญญาระยะยาว โดยตั้งเป้าให้โมเดลภาคใต้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ นี้ เพื่อให้ทันฤดูฝนปีหน้า” รมว.ดีอี กล่าว
นายไชยชนก ยังกล่าวถึงการถอดบทเรียนด้านการสื่อสารในสถานการณ์วิกฤตที่ไฟฟ้าดับ ทำให้การสื่อสารหลักและสำรอง อินเทอร์เน็ต ดาวเทียม ล้มเหลว สิ่งที่ยังใช้งานได้คือวิทยุสื่อสาร (วอ) ของอาสากู้ภัยและเครือข่ายวิทยุสมัครเล่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยพระราชทานความรู้ไว้ว่า “ในสถานการณ์วิกฤตวอจะสำคัญที่สุด” และก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว โดยกระทรวงดีอี เตรียมของบประมาณสนับสนุนกลุ่มเครือข่ายวิทยุ VHF ซึ่งเป็นวีรบุรุษที่ช่วยเชื่อมต่อข้อมูลในพื้นที่วิกฤต และไม่ได้พึ่งพาเสาสัญญาณหรือไฟฟ้า ก็จะสนับสนุน และส่งเสริมอย่างเต็มที่ เพราะเขาคือเครือข่ายหลักในการช่วยเหลือในสถานการณ์วิกฤต ต้องชื่นชมอย่างสูง
นายไชยชนก ยังกล่าวถึงการบูรณาการข้อมูล ว่า ต้องเร่งให้ทุกหน่วยงานมีช่องทางการเชื่อม API เข้าสู่ศูนย์กลางข้อมูลของดีอี เพื่อให้สามารถกดปุ่มเปิด-ปิดการเชื่อมโยงข้อมูลในเวลาเกิดภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที ไม่ใช่ต่างคนต่างหวงข้อมูลในสภาวะปกติ และต้องมีการอัปเดตกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคเรื่องการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เดิมระบุว่า หากภัยไม่เกิดประกาศไม่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการ ซักซ้อมสถานการณ์จริงให้บ่อยขึ้น เพื่อลดความสับสนและวิตกกังวล ในการปฏิบัติงานเมื่อเกิดภัยพิบัติรุนแรง
อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม