หอการค้าไทย ชี้น้ำท่วมภาคใต้ เสียหายหนักเป็นรองแค่น้ำท่วมปี 54 ประเมินเดือนเดียวเสียหายรวมกว่า 40,000 ล้านบาท ภาคท่องเที่ยวและบริการเสียหายหนักสุด ชี้ประชาชน-ผู้ประกอบการ ต้องการเงินเยียวยาโดยตรง แทนมาตรการสินเชื่อ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ฝนตกและน้ำท่วมในพื้นที่ 10 จังหวัดภาคใต้ จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายเป็นตัวเลขที่ชัดเจนได้ เบื้องต้นรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังประเมินส่งผลให้เกิดความเสียหายในกรอบวงเงินเบื้องต้นประมาณ 500,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับมหาอุทกภัยในปี 2554 ที่มีมูลค่าความเสียหายราว 1.4 ล้านล้านบาท กรณีนี้จึงถือเป็นอุทกภัยที่มีความเสียหายรุนแรงเป็นอันดับที่ 2 ของไทย
ในส่วนของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเบื้องต้นในกรอบระยะเวลา 1 เดือน ผลกระทบน้ำท่วมภาคใต้ 10 จังหวัด มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 2.19 ล้านคน หรือราว 798,600 ครัวเรือน โดยจังหวัดสงขลา ได้รับผลกระทบสูงสุด คิดเป็น 60% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ นครศรีธรรมราช และ พัทลุง เบื้องต้นในกรอบระยะเวลา 1 เดือน ประเมินว่าจะมีความเสียหายประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาทต่อวัน ในช่วงสถานการณ์รุนแรง หรือรวมกว่า 40,000 ล้านบาท คิดเป็นความเสียหาย 0.22% ต่อจีดีพี โดยภาคท่องเที่ยวและบริการมีมูลค่าความเสียหายมากที่สุดสูงกว่า 22,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของภาคการท่องเที่ยวและจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวภาคใต้จำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าว ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหารและโรงแรมต้องปิดกิจการชั่วคราว และผลกระทบต่อเนื่องจากการยกเลิกซีเกมส์ทำลายความเชื่อมั่นและโอกาสทางเศรษฐกิจ รองลงมาคือ ภาคเกษตรกรรม ราว 10,000 ล้านบาท และภาคการผลิตและสาธารณูปโภค ประมาณ 6,800 ล้านบาท
...
ทั้งนี้ จากการตอบแบบสอบถามของผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ ระบุว่า อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูมากกว่า 1 เดือน เนื่องจากทรัพย์สินและสต๊อกสินค้าเสียหาย ขาดสภาพคล่องทางการเงิน และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เสียหาย โดยสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐเร่งด่วนที่สุด คือ “เงินสด” ไม่ใช่ “หนี้สิน” มองว่ารัฐบาลควรอัดฉีดเงินเยียวยาโดยตรงหรือเงินชดเชย เพื่อให้ถึงมือผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด ขณะที่มาตรการ “สินเชื่อ” ควรเป็นทางเลือกเสริมไม่ใช่มาตรการหลัก นอกจากนี้อยากให้รัฐบาล เร่งซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน และจัดหน่วยปฏิบัติการฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับมาพร้อมใช้งานโดยเร็ว
อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม