ผู้ว่าฯ ธปท. ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายดอกเบี้ย สนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ชี้ดูแลค่าเงินบาทสอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ คาดปีหน้าค่าเงินบาทน่าจะมีทิศทางดีขึ้น จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลง

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่าพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ยังมีช่องว่างให้สามารถลดลงได้อีก ทั้งนี้ ต้องขึ้นกับอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมาในช่วงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน กนง. ครั้งหน้าในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปี 2568 อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการลดดอกเบี้ยมีผลจำกัด แต่สิ่งสำคัญคือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

ส่วนเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ เกิดจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และรายได้จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจากการที่เร่งส่งออกในช่วงที่ผ่านมาที่มีปริมาณสูง โดยการแข็งค่าของเงินบาทยังคงสอดคล้องกับหลายสกุลเงินในภูมิภาค โดยมีบางประเทศที่ค่าเงินอ่อนค่าจากปัจจัยเฉพาะ เช่น เวียดนาม ที่ผู้ส่งออกบางส่วนไม่แลกรายได้จากดอลล่าร์สหรัฐเป็นเงินดอง และมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้น

...

ผู้ว่า ธปท. ระบุอยากให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าสอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้การดูแลค่าเงินบาทยังมีข้อจำกัด เนื่องจากสหรัฐฯ มีหลักเกณฑ์กำหนดที่ไทยต้องปฏิบัติตามอยู่ อย่างไรก็ตาม ยืนยันจะดูแลไม่ให้เงินบาทผันผวนเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าปีหน้าค่าเงินบาทน่าจะมีทิศทางดีขึ้น จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่น่าจะลดลง

ทั้งนี้ เกณฑ์การพิจารณาของ กระทรวงการคลัง (ในช่วง 12 เดือน) ที่อาจเข้าข่ายเป็นการบิดเบือนค่าเงิน (currency manipulator) ประกอบด้วย 3 ข้อ ได้แก่

1. เกินดุลการค้าและบริการกับสหรัฐมากกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

2. ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account: CA) มากกว่า 3% ของ GDP

3. แทรกแซงค่าเงินด้านซื้อเงินตราต่างประเทศ (Forienge exchange) สุทธิรวมมากกว่า 2% ของ GDP การบิดเบือน

สำหรับความท้าทายการดูแลนโยบายการเงินของไทย มองว่า ดอกเบี้ยนโยบาย น่าจะเป็นความท้าทายหลัก โดยปัญหาของเศรษฐกิจที่ไม่เติบโตหรือเงินเฟ้อต่ำนั้น มาจากพื้นฐานเชิงโครงสร้าง ขีดความสามารถทางการแข่งขันที่มีน้อย ซึ่งไทยไม่มีอุตสาหกรรมที่สามารถแข่งขันได้ดี ขาด New S Curve หรือ ภาวะที่ธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ ไม่มีแหล่งการเติบโตใหม่ๆ และอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะเข้ามาทดแทน ก็ขาดคุณลักษณะหรือกลยุทธ์เฉพาะที่ทำให้ตนเองเหนือกว่าคู่แข่งในตลาด นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่อง การเข้าสู่สังคมสูงวัย รวมถึงเรื่องหนี้ครัวเรือนที่ต้องเร่งแก้ไข ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่สามารถแก้ปัญหา หรือกระตุ้นด้วยเพียงการลดดอกเบี้ยเท่านั้น แต่จะต้องใช้การลดดอกเบี้ย เพื่อคงสภาพคล่องและช่วยดูแล จากนั้นจะต้องใช้มาตรการอื่นๆ ส่งเสริมร่วมด้วย


อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม