กระทรวงการคลัง เตรียมรื้อโครงสร้างการคลังครั้งใหญ่ จ่อเริ่มทยอยเรียกเก็บ VAT เพิ่มในปี 2571 เสริมเสถียรภาพการเงินการคลัง

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า กระทรวงการคลังเตรียมปรับโครงสร้างการคลังครั้งใหญ่ เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินการคลังในระยะปานกลาง โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ และการขยับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แบบค่อยเป็นค่อยไป ตั้งเป้าลดระดับการขาดดุลให้ไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปีงบประมาณ 2572 ตามกรอบการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ปี 2570 - 2573

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน และแก้ปัญหาการปรับ Outlook และ Downgrade ประเทศไทย สร้างความมั่นใจให้เห็นว่าสถานะการคลังของประเทศไทยยังดี เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยขาดดุลการคลังเกิน 3% ของ GDP

โดยในแผนปรับโครงสร้างการคลัง มีทั้งแผนปฏิรูปภาษี มีแผนในการลดรายจ่าย และมีแผนการใช้งบประมาณกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการลงทุน และมีแผนวินัยการคลัง หนึ่งในนั้น คือ การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยภายในปี 2571 รัฐบาลตั้งเป้าทยอยเพิ่ม VAT อีก 1.5% จาก 7% เป็น 8.5% และจะขยับอีก 1.5% ในปี 2573 ให้ครบ 10% โดยย้ำว่าจะจัดทำมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและภาคเศรษฐกิจควบคู่กัน เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น

นายเอกนิติ ยอมรับว่า วันนี้ประเทศไทยยังไม่พร้อมสำหรับการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่จำเป็นต้องดำเนินการตามแผน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยโตเต็มศักยภาพ แต่หากปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ได้ก็จะหาจังหวะที่เศรษฐกิจไทยพร้อม ตามกรอบอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% ในปี 2573

...

ส่วนกรณีเศรษฐกิจไทยยังไม่พร้อมปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม จะมีมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การขึ้นอัตราภาษีรายได้ประเภทอื่น หรือการลดรายจ่าย ซึ่งบรรจุไว้ในแผนการคลังแล้ว

นอกจากนี้ มติ ครม. วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังร่วมกันทำแผนรายละเอียดการลดรายจ่ายซ้ำซ้อน ยอมรับว่า รายจ่ายซ้ำซ้อนมีหลายส่วน เช่น การให้สวัสดิการหลายที่ จำเป็นต้องมารวมศูนย์อยู่ที่เดียว และมีการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อลดความซ้ำซ้อน นอกจากนี้ยังมีแผนอีกหลายส่วนในการลดรายจ่าย

ในด้านการลงทุน แม้งบประมาณส่วนกลางจะถูกควบคุมเข้มขึ้น รัฐบาลยังเดินหน้าผลักดันการลงทุนผ่านเครื่องมืออื่น ๆ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตแห่งประเทศไทย (Thailand Future Fund) และโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) โดยย้ำว่าเป็นช่องทางที่ไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ

อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม