"เอกนิติ" ชี้โครงการคนละครึ่งพลัสเห็นผลชัดกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น พยุงกำลังซื้อ และประคองเศรษฐกิจให้ไปต่อ มีร้านค้าเข้าร่วมกว่า 913,000 ราย เกิดการใช้จ่ายแล้วกว่า 33,898 ล้านบาท เม็ดเงินไหลเวียนลงสู่เศรษฐกิจระดับพื้นที่ทั่วประเทศ

ในงานสัมมนาวิชาการประจำปีของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย FTI Outlook 2026 ภายใต้หัวข้อ “DECODING THAILAND’S INDUSTRY FOR THE UPCOMING FUTURE ถอดรหัสอุตสาหกรรมไทย อ่านเกมอนาคต” ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Policy Vision for Thailand’s Economic Transformation นโยบายใหม่สู่การพลิกโฉมเศรษฐกิจไทย

ดร.เอกนิติ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยวันนี้กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ มีข้อจำกัดมากกว่าทุกยุคที่ผ่านมา ทั้งสังคมสูงวัย แรงงานขาดแคลน ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และคอขวดเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดสะท้อนชัดเจนว่าไทยไม่สามารถพึ่งการเติบโตแบบเดิมได้อีกต่อไป จึงต้องลงมืออย่างเร่งด่วน ทั้งเพื่อประคองเศรษฐกิจระยะสั้น และเพื่อปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวอย่างเป็นระบบ

...

รัฐบาลตัดสินใจทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเฉพาะหน้าแต่ตรงจุด เพื่อพยุงกำลังซื้อและประคองเศรษฐกิจให้เดินต่อได้ หนึ่งในมาตรการที่สำคัญคือ คนละครึ่งพลัส ผลลัพธ์ในระยะสั้นชัดเจนมาก ปัจจุบัน มีร้านค้าเข้าร่วมกว่า 913,000 ราย เกิดการใช้จ่ายแล้วกว่า 33,898 ล้านบาท เม็ดเงินไหลเวียนลงสู่เศรษฐกิจระดับพื้นที่ทั่วประเทศ

พร้อมกันนี้ ยังเร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะงบการลงทุน ซึ่งสามารถเบิกจ่ายได้ถึง 12.7 % สูงกว่าเป้าหมาย 8 % อย่างมีนัยสำคัญ เป็นการผลักเม็ดเงินใหม่เข้าระบบเศรษฐกิจในช่วงเวลาจำกัด เพราะหากมัวแต่คิดหาโมเดลใหม่คงไม่ทัน ทั้งนี้รัฐบาลเดินสองทางคู่กัน คือ ประคองเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อรับมือสถานการณ์ และวางรากฐานระยะยาวเพื่อเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน โดยทุกอย่างต้องตั้งอยู่บนวินัยการคลังและความโปร่งใสอย่างเคร่งครัด หัวใจต่อจากนี้คือ การลงทุน เพราะการเติบโตระยะยาวต้องเริ่มต้นจากการปลดล็อกศักยภาพการผลิต จึงผลักดัน BOI FastPass และ PPP Fast Track เพื่อแก้คอขวดที่ทำให้นักลงทุนติดค้างกว่า 4.7 แสนล้านบาท โดยยึดเส้นทางจริงของนักลงทุนเป็นตัวตั้ง และใช้พลังของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องพึ่งการกู้เงินเพิ่มเติม นี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนคุณภาพสูง ไม่ใช่งบประมาณรัฐเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ ต้องยกระดับทักษะให้ทันต่อความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ รัฐบาลจึงร่วมกับภาคเอกชนปรับระบบพัฒนาทักษะเป็นแบบ Demand Driven ให้เอกชนสะท้อนความต้องการจริง แล้วรัฐจัดหลักสูตรตอบโจทย์โดยตรง ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมผลักดัน TH-AI Passport เพื่อยกระดับความสามารถด้าน AI ให้คนไทยในวงกว้าง ต่อยอดสู่กำลังแรงงานคุณภาพที่พร้อมรองรับการลงทุนยุคใหม่ของโลก

ในอีกด้านหนึ่ง SMEs คือฐานรากสำคัญของเศรษฐกิจไทย จึงเตรียมมาตรการยกระดับตั้งแต่เงินทุน การปรับระบบสินเชื่อเชิงซัพพลายเชน ไปจนถึงการพัฒนาทักษะผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อให้สามารถเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้จริง นอกจากนี้รัฐบาลได้ขยายมาตรการ Upskill ไปสู่ร้านค้าคนละครึ่งพลัส โดยเปิดโครงการพัฒนาทักษะให้ร้านค้ามากที่สุด 400,000 ร้านค้า เริ่มตั้งแต่วันนี้ 19 พฤศจิกายน ถึง 19 ธันวาคม 2568

วันนี้รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมต่างมีบทบาทสำคัญที่ต้องทำร่วมกัน รัฐบาลจะทำหน้าที่ปลดล็อกอุปสรรค รักษาเสถียรภาพ และสร้างกติกาที่เอื้อต่อการแข่งขัน ขณะที่ภาคธุรกิจเป็นกำลังสำคัญในการสร้างนวัตกรรม การผลิต และการลงทุนใหม่ หากยืนเคียงข้างกัน ประเทศไทยจะสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ ในเวลาไม่นาน ประเทศไทยจะไม่ใช่เพียงฐานการผลิต แต่จะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของภูมิภาค ทั้งในด้านดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานสะอาด ยานยนต์สมัยใหม่ และอาหารแห่งอนาคต และสามารถส่งต่อเศรษฐกิจที่แข็งแรง ยั่งยืน และแข่งขันได้ให้กับคนไทยรุ่นต่อไป

อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม

...