“อรรถกร” นำเอกชนท่องเที่ยวเข้าพบนายกฯ ชงแผนเร่งด่วน 3 เดือน คุมภาพลักษณ์กวาดข่าวลบ ฟื้นความเชื่อมั่นต่างชาติ หลังตลาดระยะใกล้หดแรง เสนอรัฐเดินหน้าแคมเปญความปลอดภัยระดับโลก ดึงอีเวนต์ใหญ่–ลดภาษีน้ำมันเครื่องบิน–ขยายเที่ยวไทยคนละครึ่ง เตือนหากขยับไม่ทัน ไทยเสี่ยงหลุด “จุดหมายปลายทางหลัก” เหลือแค่หนึ่งในทางเลือกของนักท่องเที่ยว

เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. นำคณะผู้แทนภาคเอกชนท่องเที่ยว ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) สมาคมโรงแรมไทย (THA) และสมาคมสายการบินประเทศไทย เข้าพบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นข้อเสนอฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปี 2568 หลังตลาดระยะใกล้ในเอเชียและอาเซียนหลายประเทศหดตัวแรง กระทบภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจลดลงราว 7%

...

ทั้งนี้ภาคเอกชนท่องเที่ยวได้เสนอ มาตรการเร่งด่วนภายใน 3 เดือน โดยเฉพาะการบริหารจัดการความปลอดภัยและฟื้นฟูความเชื่อมั่น เช่น ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้านความปลอดภัย–สื่อสารเชิงรุก จัดการข่าวลบในโซเชียล พร้อมเผยแพร่ข่าวบวกต่อเนื่อง รวมถึงสั่งทุกหน่วยงาน บังคับใช้กฎหมายให้เห็นผลจริง จัดการพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ไม่เหมาะสม พร้อมประกาศผลการดำเนินคดีต่อสาธารณะ และผลักดันความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ เช่น ไทย–จีน เพื่อออกคำแนะนำด้านท่องเที่ยวและช่วยดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ด้าน มาตรการกระตุ้นตลาด (Quick Win) ได้เสนอทำแคมเปญความปลอดภัยระดับโลก ดึงอีเวนต์–คอนเสิร์ตใหญ่ เพิ่มแรงจูงใจด้านบัตรโดยสารทั้งต่างประเทศและในประเทศ รวมถึงมาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวสำหรับคนไทย เช่น ขยายโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน และรณรงค์เป็นเจ้าบ้านที่ดีเพื่อดึงเสน่ห์ไทยกลับมาเป็นจุดขายหลัก

สำหรับ ข้อเสนอระยะกลาง–ยาว ภาคเอกชนเสนอให้คณะกรรมการท่องเที่ยวแห่งชาติขับเคลื่อน 6 แผนงานใหญ่ ได้แก่ ปรับปรุงกฎหมายท่องเที่ยว พัฒนามาตรฐานบริการ โครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเมืองรอง ส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างสินค้าท่องเที่ยวใหม่ที่แข่งขันได้ระดับโลก และสร้างภาพจำใหม่ของประเทศไทย พร้อมเตือนชัดว่า หากรัฐบาลขยับไม่ทันเวลา ไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกลดบทบาทจาก “จุดหมายปลายทางหลัก” เหลือเพียง “หนึ่งในตัวเลือก” ของนักท่องเที่ยวในอนาคต


อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม