ภาคเอกชน 3 ฝ่าย ผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตร แถลงจุดยืนสร้างประเทศไทยให้โปร่งใส ตั้งคณะทำงาน “Zero Corruption และเพื่อน ไม่ทน” ประกาศจุดยืนต่อต้านคอร์รัปชันทุกรูปแบบ เผยคอร์รัปชันคือปัญหากัดกร่อนศักยภาพประเทศทำให้ GDP ของประเทศโตช้า

18 พ.ย.68 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน กล่าวว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้เห็นชอบแต่งตั้ง คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน เพื่อรวบรวมข้อเสนอจากภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม จัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะนำเสนอต่อรัฐบาลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มาตรการเหล่านี้ถูกนำไปปฏิบัติได้จริง และสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนรวมถึงสร้างระบบเศรษฐกิจและการเมืองไทยที่โปร่งใส เป็นธรรม ประกาศจุดยืนของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านคอร์รัปชันทุกรูปแบบ การจัดตั้งคณะทำงานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแนวคิด Reinvent Thailand เพื่อร่วมยกระดับขีดความสามารถของประเทศ โดยเริ่มจากการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน Government Efficiency (ประสิทธิภาพของภาครัฐ) ซึ่งเป็นอุปสรรคหลักต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยได้

...

โดยมี Action Plan แผน Quick Impact 6 ด้าน ในระยะ 6 เดือนแรกดังนี้

1. “การปลูกฝังจิตสำนึก” เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ผลวิจัยเลือกตั้ง รณรงค์ สนับสนุนพรรคการเมืองที่มีนโยบายต่อต้านคอร์รัปชัน “เลือกตั้งสุจริต ไม่เลือกคนมีประวัติคดโกง และปฏิเสธคนซื้อเสียง” กระตุ้นการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ในการประกาศเจตนารมณ์เอกชนฮั้วไม่จ่ายใต้โต๊ะ เน้นให้ธุรกิจเติบโตด้วยความรับผิดชอบต่อลูกค้า สิ่งแวดล้อม และสังคม รวมถึงจัดเวทีให้ความรู้แก่สังคม เรื่อง “หยุดสแกมเมอร์ – ทุนเทา ก่อนชาติล่มจม” และ เรื่อง “ผลกระทบและแนวทางการต่อต้านบัญชีม้าและนอมินีทุนเทา” เพื่อสรุปปัญหาและประกาศแนวทางกำจัดและป้องกันการใช้นอมินี

2. “นโยบายต่อต้านการทุจริตในองค์กร” รณรงค์ให้สมาชิกภาคธุรกิจเข้าร่วม แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) เพื่อกำหนดนโยบาย ระบบควบคุมภายใน และแนวปฏิบัติในการปฏิเสธรับและจ่ายสินบน รวมถึงคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ และพัฒนาระบบงานให้ได้มาตรฐานรางวัลจรรยาบรรณดีเด่น กระตุ้นให้ “คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน” เร่งดำเนินการตามข้อเสนอโครงการ Regulatory Guillotines และผลักดัน พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกประกาศสิ่งที่รัฐบาลต้องทำเพื่อให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD ได้สำเร็จ สนับสนุนการเข้าร่วม OECD และ Open Government Partnership (OGP) เพื่อนำเสนอในการประชุม World Bank & IMF และผลักดันพระราชบัญญัติยกระดับการบริหารภาครัฐให้ทันสมัย

3. “ระบบบริหารความเสี่ยง” สำรวจและนำเสนอผล ธุรกิจไทยยังถูกเรียกรับสินบนการอนุญาต ประกาศ “10 สินบน ที่ไม่ยอมทนอีกต่อไป” เพื่ออัปเดต และสื่อสารปัญหาสินบน ใบอนุญาตต่างๆ พร้อมหาแนวทางใบอนุญาตโปร่งใส ติดตามและนำเสนอผลการสำรวจดัชนี CSI, CPI เพื่อประเมินสถานการณ์คอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง

4. “การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ” ผลักดันการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐตามมาตรฐานสากล ที่จำเป็นต่อการต่อต้านคอร์รัปชัน

5. “เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส” ร่วมกันใช้ฐานข้อมูล ACT Ai ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อตรวจสอบทุจริตในกรณีต่างๆ

6. “แนวทางการร้องเรียนและคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูล” รณรงค์ “เรียกรับ...เราร้อง” ชวนคนไทย ข้าราชการ รวมถึงนักธุรกิจไทยและต่างชาติ แจ้งเบาะแสคอร์รัปชัน หรือร้องเรียนเมื่อถูกเรียกสินบน ผ่านแชต “ฟ้องโกงทันใจ” Corruption Watch ให้ทุกคนมั่นใจ ไม่โดนกลั่นแกล้ง ฟ้องปิดปาก

...

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยในวันนี้ ไม่ได้เพียงแค่ผลิตสินค้าเพื่อแข่งขันในตลาดโลกเท่านั้น แต่กำลังก้าวสู่ยุคที่ต้องผลิตความโปร่งใส เป็นมาตรฐานใหม่ของการดำเนินธุรกิจ เพราะการทุจริตไม่ใช่แค่ปัญหาทางศีลธรรมที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของสังคม แต่คือต้นทุนที่มองไม่เห็น ที่กัดกร่อนศักยภาพของประเทศ ทั้งด้านการลงทุน เทคโนโลยี และโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต ขณะเดียวกันยังเป็นอุปสรรคในการเติบโตของจีดีพีทำให้จีดีพีประเทศโตช้า

โครงการฯ นี้ ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายสำคัญ ได้แก่

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันแห่งประเทศไทย, แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย, สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงานทางวิชาการ ได้แก่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เพื่อร่วมกันออกแบบนโยบาย ระบบ และกลไก ที่นำไปสู่สังคมโปร่งใสและตรวจสอบได้

นอกจากนี้ ยังขยายสู่กลุ่มหน่วยป้องกันและปราบปราม เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพื่อเชื่อมโยงสู่การบังคับใช้กฎหมายเชิงระบบ พร้อมด้วยเครือข่ายสนับสนุนจากภาคเอกชนทุกองค์กร

...

ด้าน รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลสำรวจ ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย ประจำเดือนมิถุนายน 2568 โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นการสำรวจจาก 3 กลุ่มตัวอย่างหลัก จำนวน 2,400 ตัวอย่าง (ประชาชน, ผู้ประกอบการ/ภาคเอกชน, และข้าราชการ/ภาครัฐ) พบว่า ดัชนีรวมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 36 จากระดับ 37 ในการสำรวจเมื่อเดือนธันวาคม 2567 สะท้อนว่าสถานการณ์คอร์รัปชันไทยในภาพรวมแย่ลง

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีความกังวลต่อสถานการณ์อย่างยิ่ง โดยมองว่าปัญหาคอร์รัปชันในปัจจุบัน รุนแรงขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่า จะรุนแรงขึ้นในปีหน้า เมื่อเจาะลึกถึงสาเหตุสำคัญที่สุดของการทุจริต กลุ่มตัวอย่างระบุว่าเกิดจากความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใส และผลประโยชน์ทางการเมือง โดยรูปแบบการทุจริตที่พบบ่อยที่สุดคือ การไม่เปิดเผยข้อมูล หรือเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน การเอื้อประโยชน์แก่ญาติ/พรรคพวก และการใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก

สำหรับข้อเสนอเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการมากที่สุด คือ การตรวจสอบการทุจริตของนักการเมือง

อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม