บีโอไอ อนุมัติส่งเสริมการลงทุน “การ์มิน” ผู้ผลิตอุปกรณ์อัจฉริยะแบรนด์ดังระดับโลก ลงทุน 3,000 ล้านบาท ตั้งฐานผลิต Smart Watch และ GPS Navigator แห่งแรกในอาเซียน ที่จังหวัดชลบุรี
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาส่งเสริมการลงทุน ได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนโครงการของบริษัท การ์มิน ชลบุรี (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือบริษัท Garmin Ltd. (Switzerland) เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ (GPS Smart Watch) และอุปกรณ์นำทางอัจฉริยะ สำหรับยานยนต์และการเดินเรือ (GPS Navigator) ภายใต้แบรนด์ Garmin มูลค่าลงทุน 3,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งจะเป็นฐานการผลิตแห่งแรกในอาเซียนของบริษัท คาดว่าจะเริ่มผลิตภายในปีหน้าเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของอาเซียน
สำหรับโครงการนี้จะใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยครบทั้งสายการผลิต เพื่อผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซ็นเซอร์สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจและระดับออกซิเจนในเลือดแบบเรียลไทม์ เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อวัดความเร็วและระยะทาง และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของผู้สวมใส่ Smart Watch รวมถึงระบบนำทางหรือเทคโนโลยีรับข้อมูลสภาพอากาศและกระแสน้ำแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเดินเรือและการวางแผนเส้นทาง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นนวัตกรรมที่ให้ความแม่นยำในการตรวจจับและวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง รวมถึงสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์หรือเครื่องมืออื่น ๆ เช่น สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ ผ่านระบบไร้สายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต
...
“บริษัท Garmin เป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ Smart Watch และอุปกรณ์ GPS ที่หลากหลาย ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มนักกีฬา ผู้รักสุขภาพ และนักเดินทางทั่วโลก โดยมียอดขายรวม 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 เติบโตอย่างก้าวกระโดด 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจุบันบริษัท Garmin มีโรงงานผลิตอยู่หลายแห่งทั่วโลก ได้แก่ จีน ไต้หวัน เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ สหรัฐฯ”
ทั้งนี้ กรณีที่บริษัทได้เลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งที่ดี อยู่ใจกลางของอาเซียน มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่ง ระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ที่ทันสมัย บุคลากรมีคุณภาพ มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ดี และมีซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ครบวงจร เอื้อต่อการผลิตและสามารถรองรับตลาดที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว เป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการรองรับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
“นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การมุ่งพัฒนาซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ก่อให้เกิดการเกื้อหนุนกัน และส่งผลให้ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยมีความเข้มแข็ง สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคต” นายนฤตม์ กล่าว
ที่สำคัญนับตั้งแต่บีโอไอเริ่มใช้ยุทธศาสตร์ใหม่เมื่อปี 2566 ถึงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จำนวน 1,035 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 760,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการลงทุนในกิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่สามารถตรวจจับและรับข้อมูล และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น หรือเชื่อมต่อโครงข่ายผ่านระบบไร้สาย และมีระบบปฏิบัติการหรือระบบประมวลผลฝังตัวอยู่ในอุปกรณ์นั้น จำนวน 44 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 92,700 ล้านบาท
อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม