ไทยลงนาม FTA ยกระดับอาเซียน-จีน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว ยกระดับการค้าในภูมิภาค และเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน

เมื่อวันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ 28 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยก่อนการประชุมดังกล่าว รมว.พณ. พร้อมด้วยรัฐมนตรีการค้าของอาเซียนและจีน ได้ร่วมลงนามพิธีสารเพื่อยกระดับเพิ่มเติมกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้านระหว่างสมาชิกอาเซียนกับจีน ซึ่งเป็นพิธีสารเพื่อยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน หรือ "ACFTA 3.0" ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมธุรกิจในปัจจุบัน และถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าไทยและจีนด้วย

นางศุภจี กล่าวว่า การลงนามพิธีสาร ACFTA 3.0 ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จระหว่างอาเซียนและจีน โดยเฉพาะไทยในฐานะที่เป็นประธานฝ่ายอาเซียนซึ่งได้ผลักดันการเจรจาดังกล่าวจนได้ข้อสรุป โดยความตกลง ACFTA ถือเป็น FTA ที่อาเซียนมีการใช้สิทธิประโยชน์มากที่สุด รวมทั้งเป็น FTA ที่ช่วยขยายมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับจีน จนทำให้จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยมาตลอด 12 ปีที่ผ่านมา

...

นางศุภจี กล่าวเพิ่มเติมว่า สาระสำคัญของความตกลง ACFTA 3.0 มุ่งเน้นการปรับปรุงเนื้อหาความตกลงเดิม ให้มีความทันสมัย โปร่งใส และอำนวยความสะดวกทางการค้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องพิธีการทางศุลกากร มาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐานเกษตร และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ นอกจากนี้ ความตกลงฯ ยังได้เพิ่มสาขาความร่วมมือใหม่ที่ตอบโจทย์กับการค้ายุคใหม่ ได้แก่ เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว ความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน, การแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ซึ่งประเด็นใหม่ดังกล่าว จะมีส่วนสำคัญในการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยและอาเซียน ที่ต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งเนื้อหาของความตกลงดังกล่าวก็ได้ปูทางให้เกิดความร่วมมือในหลายด้านระหว่างอาเซียนกับจีน เช่น การใช้ระบบดิจิทัลในการพัฒนากระบวนการทางศุลกากร การพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตลอดจนการคุ้มครองผู้บริโภคออนไลน์

นางศุภจี เสริมต่อว่า หลังจากที่อาเซียนและจีนได้ลงนามพิธีสาร ACFTA 3.0 ทุกประเทศจะต้องดำเนินกระบวนการภายในที่เกี่ยวข้อง และแจ้งความพร้อมสำหรับการบังคับใช้ต่อสำนักเลขาธิการอาเซียน โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ตนได้มอบหมายกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศดำเนินการเผยแพร่เนื้อหาพิธีสารดังกล่าว พร้อมทั้งจัดสัมมนาประชาพิจารณ์เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ศึกษาทำความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าว ก่อนที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

ทั้งนี้ การค้าระหว่างอาเซียนกับจีนในปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 429,806.05 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.65 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นการส่งออก 145,144.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการนำเข้า 284,661.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่การค้าระหว่างไทยกับจีนปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่า 108,639.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.08 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นการส่งออก 30,667.72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการนำเข้า 77,971.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีน เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ยางพารา เป็นต้น ขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญจากจีน เช่น เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม