กรมทรัพย์สินทางปัญญา เผย “เทรนด์สิทธิบัตร” โลก “อาหารแห่งอนาคต-สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ” โตพรวดในช่วง 20 ปี สอดคล้องเทรนด์รักษ์สุขภาพ และความยั่งยืน โดยจีน มีมากสุดในโลก ตามด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ หนุนนักวิจัยไทย เร่งประดิษฐ์คิดค้น และเป็นเจ้าของนวัตกรรมตอบโจทย์ตลาดโลก

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีสิทธิบัตร ด้านอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต (Future Food) เช่น อาหารเสริมสุขภาพ อาหารเชิงฟังก์ชัน โปรตีนทางเลือก อาหารออร์แกนิก เป็นต้น และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive Compounds) ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีการยื่นขอจดสิทธิบัตรทั่วโลกเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์ “สุขภาพ” และ “ความยั่งยืน” คาดการณ์ว่า ตลาดดังกล่าว จะมีมูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านบาทในปี 70 สำหรับประเทศที่มีจำนวนสิทธิบัตรนวัตกรรมดังกล่าวสูงที่สุดในโลก ได้แก่ จีน มากกว่า 1,500 ฉบับ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตามด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ขณะที่ประเทศที่น่าจับตามอง ได้แก่ อินเดีย มีการจดสิทธิบัตรเติบโตสูงกว่า 26% ต่อปี และฟิลิปปินส์ ที่เริ่มมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา

...

ทั้งนี้ แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมดังกล่าวเริ่มอยู่ในระยะทรงตัว แต่เมื่อเจาะลึกในรายละเอียด จะพบ 4 เทคโนโลยีกลุ่มย่อยที่กำลังมาแรง หรือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย ได้แก่

1.โปรตีนจากพืชและสารออกฤฤทธิ์ทางชีวภาพ ซึ่งเคยถึงจุดอิ่มตัว ก่อนกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังช่วงโควิด-19 จากเทรนด์รักสุขภาพทั่วโลก นโยบายสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพสัตว์ โดยสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัยเป็นผู้ถือสิทธิบัตรหลักมากกว่าภาคเอกชน ส่งผลให้ในภาพรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 2,100 – 2,900 ฉบับต่อปี

2.โภชนาการเฉพาะบุคคล ที่เติบโตต่อเนื่อง มีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อออกแบบสูตรอาหารหรืออาหารเสริมที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยสาขานี้มีผู้เล่นหลากหลาย ทั้งบริษัทยาชีวภาพ และสถาบันวิจัย รวมผู้ถือสิทธิบัตร 800 – 900 ฉบับต่อปี เช่น ระบบห้องครัวอัจฉริยะ, การปรับเวลา, อุณหภูมิ, และสูตรอาหารเฉพาะบุคคล เป็นต้น

3.เทคโนโลยีการหมัก ภาพรวมของตลาดนี้อยู่ในช่วงอิ่มตัวหากมองในเชิงปริมาณ ซึ่งมีผู้ถือสิทธิบัตร 200 – 300 ฉบับต่อปี แต่มีการแข่งขันในเชิงคุณภาพนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของโลกที่มีสิทธิบัตรด้านการหมักจำนวนมาก เช่น การหมักสมุนไพรจีนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยา

และ 4.เทคโนโลยีการพิมพ์อาหาร 3 มิติ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและควบคุมปริมาณองค์ประกอบต่างๆ ได้อย่างละเอียดและแม่นยำ เช่น การพิมพ์แท่งอาหารที่ปรับสัดส่วนโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน ให้ตรงความต้องการของนักกีฬาแต่ละคน, การพิมพ์อาหารบดสำหรับผู้สูงอายุที่เคี้ยวยาก พร้อมเสริมสารอาหารที่จำเป็นอย่างแคลเซียมและโพรไบโอติกลงไปได้อย่างแม่นยำ เป็นต้น นวัตกรรมนี้มีโอกาสขยายตัวสูง โดยมีทั้งบริษัทยาและแบรนด์อาหารระดับโลกเข้ามาร่วมพัฒนา รวมผู้ถือสิทธิบัตร 200 – 300 ฉบับต่อปี

นางอรมน กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ประกอบการไทย Future Food ไม่ใช่เพียงกระแส แต่เป็นสนามแข่งขันระดับโลกที่ไทยต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะการใช้สิทธิบัตรเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนธุรกิจ ไทยมีจุดแข็งด้านภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่นที่หลากหลาย ซึ่งผู้ประกอบการสามารถจับมือกับมหาวิทยาลัยและสตาร์ทอัพ เพื่อบ่มเพาะนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ เช่น การวิจัยเพื่อค้นหาสารออกฤทธิ์ใหม่ๆ จากพืช อย่าง กระชายที่ช่วยต้านการอักเสบ ใบบัวบกที่ช่วยเสริมความจำ รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมการหมักเพื่อต่อยอดสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ในกลุ่มอาหารและพืชผลทางการเกษตร เป็นต้น

...

“จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ต้นทุนความหลากหลายทางชีวภาพ แปลงเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ไปได้ไกลในตลาดโลก นอกจากนี้ ควรปรับแนวคิดจากการผลิตมากเพื่อขายวัตถุดิบ เป็น คิดวิจัยให้มากเพื่อขายสิทธิบัตร เพื่อให้คนไทยเป็นเจ้าของนวัตกรรมที่โลกต้องการ”

สำหรับสถิติคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตในไทย ในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ปี 68 มีการยื่นคำขอ 190 คำขอ (ต่างชาติ 157 คำขอ และไทย 33 คำขอ) และคำขออนุสิทธิบัตร 470 คำขอ (ต่างชาติ 29 คำขอ และไทย 441 คำขอ) ขณะที่ได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตร 93 ฉบับ (ต่างชาติ 89 ฉบับ และไทย 4 ฉบับ) และจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร 163 ฉบับ (เป็นของคนไทยทั้งหมด) เช่น ไอศกรีมนมอัลมอนด์เสริมโปรตีนจากจิ้งหรีด สารสกัดต้านอนุมูลอิสระ ข้าวเหนียวกึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์คล้ายเนื้อสัตว์ และสูตรผสมจุลินทรีย์โพรไบโอติก เป็นต้น

อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม

...