กพท.เร่งเครื่องเพิ่มศักยภาพการแข่งขันไทยในตลาดโลก จ่อชง กบร.ยกเลิกเกณฑ์อายุอากาศยานใช้มาตรฐานความสมควรเดินอากาศแทน พร้อมขยับค่า PSC เพื่อพัฒนาความปลอดภัยและการให้บริการยกระดับสนามบินไทยสู่มาตรฐานโลก
พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า ขณะที่ กพท.อยู่ระหว่างเร่งผลักดันนโยบายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินไทยในระดับสากล ได้แก่ การยกเลิกข้อจำกัดด้านอายุสูงสุดของอากาศยานที่นำเข้าใช้งานในประเทศ และการปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charge - PSC) เพื่อใช้ลงทุนพัฒนาระบบบริการในท่าอากาศยาน โดยทั้งสองวาระเตรียมเสนอให้คณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ซึ่งขณะนี้ได้รับการแต่งตั้งครบองค์คณะแล้วพิจารณาอนุมัติให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด
พล.อ.อ.มนัท กล่าวว่า ปัจจุบันข้อกำหนดที่จำกัดอายุสูงสุดของอากาศยานที่สามารถนำเข้ามาใช้งานในประเทศไทยได้ กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของสายการบินไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ทั่วโลกประสบปัญหาการขาดแคลนเครื่องบินใหม่จากผู้ผลิตรายใหญ่ ตามข้อกำหนดเดิมของไทย อากาศยานแต่ละประเภทมีอายุสูงสุดที่สามารถนำเข้าได้ คือ เฮลิคอปเตอร์ไม่เกิน 5 ปี, เครื่องบินโดยสารไม่เกิน 16 ปี และเครื่องบินขนส่งสินค้าไม่เกิน 22 ปี ซึ่งข้อจำกัดนี้ทำให้สายการบินไทยสูญเสียโอกาสในการจัดหาเครื่องบินเพื่อเช่าที่ยังอยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งานได้อีกหลายปี ขณะที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาคไม่มีข้อจำกัดเช่นนี้
“กพท. จึงเสนอแนวทางใหม่ ยกเลิกเกณฑ์อายุอากาศยาน และหันมาใช้การตรวจสอบความสมควรเดินอากาศ เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาแทน ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกใช้ โดยอากาศยานที่ผ่านการตรวจสอบว่ามีความปลอดภัยและพร้อมให้บริการจะได้รับอนุญาตให้นำเข้าใช้งานได้ โดยไม่จำกัดอายุ” พล.อ.อ.มนัท กล่าว
...
สำหรับแนวทางใหม่นี้สะท้อนความจริงทางเทคโนโลยีการบินยุคใหม่ ซึ่งเครื่องบินรุ่นปัจจุบันสามารถมีอายุการใช้งานยาวนานถึง 30-40 ปี หากได้รับการดูแลและบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง การแก้ไขกฎเกณฑ์ดังกล่าวอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) และเมื่อได้รับความเห็นชอบ ก็สามารถประกาศบังคับใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องแก้กฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดหาเครื่องบินได้คล่องตัวขึ้นทันที
พล.อ.อ.มนัท กล่าวว่า กพท. ได้พิจารณาคำขอปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) จากผู้ประกอบการท่าอากาศยาน โดยยึดหลักความสมเหตุสมผลและการลงทุนเพื่อยกระดับบริการ โดยเฉพาะสนามบินที่มีการลงทุนเพิ่มเติมเท่านั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาจากคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) โดย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เสนอปรับขึ้นค่า PSC สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศเพิ่มอีก 5 บาท จากอัตราเดิม 730 บาท เป็น 735 บาท เพื่อใช้ลงทุนพัฒนาและบำรุงรักษาระบบบริการในสนามบินหลักทั่วประเทศ
ขณะที่กรมท่าอากาศยาน (ทย.) โดยเฉพาะ ท่าอากาศยานตรัง ปรับเพิ่มค่า PSC ขึ้น 25 บาท ระหว่างประเทศ จากเดิม 400 เป็น 425 บาทต่อคน และภายในประเทศ จากเดิม 50 เป็น 75 บาทต่อคน ก่อนหน้านี้ได้อนุมัติให้ ทย. ปรับขึ้นค่า PSC อัตราใหม่ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 จำนวน 6 สนามบิน ประกอบด้วย ท่าอากาศยานกระบี่, สุราษฎร์ธานี, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, นครศรีธรรมราช และพิษณุโลก ทั้งนี้ ท่าอากาศยานของ ทย. จะปรับเพิ่มขึ้นเฉพาะสนามบินที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง 3 ระบบมาใช้งาน ได้แก่ บริการตรวจบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง, บริการเช็คอินด้วยตัวเองอัตโนมัติ และบริการรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ ซึ่งหาก กบร.เห็นชอบการปรับขึ้นค่า PSC ของ ทอท. และ ทย. ก็จะสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ทันที คาดว่าจะประชุม กบร. ไม่เกินเดือน พ.ย.นี้
พล.อ.อ.มนัท กล่าวว่า การปรับขึ้นค่า PSC ไม่ใช่เพียงการเพิ่มรายได้ แต่เป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพบริการในระยะยาว เพื่อให้สนามบินของไทยก้าวสู่มาตรฐานเดียวกับประเทศชั้นนำในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ เก็บค่า PSC ประมาณ 1,500 บาท ซึ่งสูงกว่าไทยเกือบเท่าตัว โดยยืนยันว่าทุกการปรับปรุงของ กพท. มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสารให้ดียิ่งขึ้น พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้อุตสาหกรรมการบินไทยก้าวสู่มาตรฐานสากลอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนกรณีที่มีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับการพัฒนาบริการในสนามบินนั้นหากมีการปรับขึ้นค่า PSC แล้วนั้น ในส่วนของ ทอท. ได้แก้ไขปัญหาคอขวดในการให้บริการในสนามบิน เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวไทยที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว หนึ่งในมาตรการสำคัญคือ การนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการบริการ โดยมีการติดตั้งระบบ Biometric และระบบตรวจคนเข้าเมืองแบบอัตโนมัติ (Automated Immigration) ที่ช่วยลดเวลารอคิวของผู้โดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงได้อนุมัติให้มีผู้ให้บริการภาคพื้นรายที่ 3 เข้ามาดำเนินการ เพื่อเพิ่มทางเลือกแก่สายการบินและลดระยะเวลารอของผู้โดยสาร
อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม