นายกฯ อนุทิน มอบรางวัล 20 สุดยอดซีอีโอ 2568 ย้ำใน 4 เดือนนี้จะทำงานวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยมั่นคงแข็งแกร่ง ตั้งเป้าหมายดันไทยกลับสู่ผู้นำอาเซียน

สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 ในหัวข้อ “The Future Direction of Thailand : เมื่อโลกเปลี่ยน...ประเทศไทยไปทางไหน?” พร้อมประกาศผลและมอบรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร ประจำปี 2568 “CEO Econmass Awards 2025” โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แสดงปาฐกถาพิเศษ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” และให้เกียรติมอบรางวัลสุดยอดซีอีโอ ประจำปี 2568 สำหรับงานดังกล่าวจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 แล้ว เพื่อสร้างต้นแบบผู้นำองค์กรที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างแรงกระตุ้นสังคม การดำเนินธุรกิจที่ดี และมีความรับผิดชอบต่อสังคมตามแนวทาง ESG ตลอดจนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนผู้นำองค์กรที่เข้มแข็ง โดยในปีนี้มีผู้ได้รับรางวัลสุดยอดซีอีโอ ทั้งสิ้น 20 รางวัล แบ่งเป็น สุดยอดซีอีโอรุ่นใหญ่, สุดยอดซีอีโอรุ่นกลาง, สุดยอดซีอีโอรุ่นเอสเอ็มอี, สุดยอดซีอีโอรัฐวิสาหกิจ และรางวัล “สุดยอดซีอีโอขวัญใจสื่อมวลชน” ได้แก่ นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน)

...


นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เผยว่า การเดินหน้ามาตรการทางเศรษฐกิจรัฐบาลจะพยายามวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยมั่นคงแข็งแกร่ง ให้มีการกระจายรายได้ของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะสิ้นปีนี้ และจะใช้เวลา 4 เดือนให้คุ้มค่า รัฐบาลจะทำงานอย่างเต็มที่ในการวางแนวทางและรากฐานที่ดี เพื่อที่รัฐบาลชุดต่อไปที่เข้ามา สามารถเดินหน้าต่อยอดได้เลย รวมถึงจะเร่งผลักดันให้ประเทศไทยกลับมาเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน และต้องกลับมาตั้งเป้าหมายใหม่ และยังเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมีภูมิรัฐศาสตร์ที่ดี ได้เปรียบประเทศอื่นๆ

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "THE FUTURE ENERGY" : ทิศทางพลังงานไทย ว่าการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงาน จำเป็นต้องคำนึงถึงความมั่นคงพลังงาน ด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน โดยนโยบาย นอกจากการอุดหนุนราคาพลังงานแล้ว จะมีการทำโครงการ “โซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 MW“ ซึ่งสามารถเริ่มรับซื้อได้ภายในพฤศจิกายนนี้ รวมทั้งการนำค่าใช้จ่ายการติดตั้งโซลาร์เซลล์ภาคครัวเรือนไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 2 แสนบาทต่อครัวเรือน ควบคู่ไปกับการผลักดันโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อเกษตร และโซลาร์ลอยน้ำของ กฟผ. เพื่อจะทำให้ต้นทุนการผลิตค่าไฟฟ้าลดลง

ขณะที่การผลักดันโครงสร้างพื้นฐานพลังงานอุตสาหกรรม จะเร่งการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรง หรือ Direct PPA 2,000 Mw จะพิจารณาร่างหลักการและอัตราค่าบริการให้เสร็จภายในพฤศจิกายนนี้ และเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่

ทั้งนี้ ด้วยระยะเวลาจำกัด 4 เดือน แต่อย่างน้อยต้องการให้บางโครงการฯ สามารถเริ่มต้นได้ และหากทำได้ทั้งหมด จะทำให้เกิดการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท

ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยระหว่างปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "THE FUTURE FINANCE" : โฉมใหม่การเงินการคลัง เผยว่า ประเทศไทยต้องเร่งตามให้ทัน 4 เทรนด์ที่กำลังมาถึง ได้แก่ การค้าโลกที่ต้องเลือกข้าง, สังคมผู้สูงอายุ วัยทำงานน้อยลง, โลกดิจิทัล ที่ต้องก้าวทัน และการทำธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งเข้าไปสู่เทรนด์นี้ให้ได้

ตอนนี้ไทยมาสู่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยไม่ถึง 2% มีการขยายตัวลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากเราไม่มีการลงทุนมานาน ขณะที่ทักษะแรงงานไทยก็ต้องยอมรับว่าไม่มีทักษะแรงงานที่ตอบโจทย์กับความต้องการของตลาด

...

ทั้งนี้แม้รัฐบาลจะมีเวลาเพียง 4 เดือน ก็จะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ เราจึงต้องมีนโยบาย “Quick Big Win” ให้การเติบโตทางเศรษฐกิจกระจายตัวไปสู่กลุ่มคนทุกกลุ่ม กระตุ้นสั้น กระจายตัว ได้ผลระยะยาว เบื้องต้น กระทรวงการคลัง จะกระตุ้นสั้นด้วยการบริโภคภาคประชาชนและเอกชน ”คนละครึ่งพลัส“ / เที่ยวเมืองรอง / ช่วยหนี้ประชาชน ซึ่งวันนี้ประชาชนเป็นหนี้เสียอยู่เยอะมาก และช่วย SMEs ที่ขาดสภาพคล่อง ให้ได้มากที่สุด

สำหรับสัปดาห์หน้า กระทรวงการคลัง เตรียมจะนำในส่วนของโครงการ “เที่ยวเมืองรอง” เสนอให้ที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจ พิจารณา เพื่อเร่งกระตุ้นภาคท่องเที่ยวของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม