“เอกนิติ” เผย ครม.ไฟเขียว “คนละครึ่งพลัส” อัดงบ 4.4 หมื่นล้าน เติมกำลังซื้อ ปลุกเศรษฐกิจปลายปี เปิดลงทะเบียน 20–26 ต.ค.68 ใช้สิทธิ 29 ต.ค.–31 ธ.ค. รัฐอุดหนุน 2,000-2,400 บาทต่อคน คาดเงินสะพัดกว่าแสนล้าน ดันจีดีพีไตรมาสสุดท้ายโตเพิ่ม 0.6% ตามนโยบาย Quick Big Win

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยกำหนดให้ประชาชนผู้สนใจลงทะเบียนสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ระหว่างวันที่ 20–26 ตุลาคม 2568 และเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2568 ในเวลา 06.00–23.00 น. ของทุกวัน ทั้งนี้ผู้ได้รับสิทธิต้องเริ่มใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23.00 น. มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ ขณะที่สิทธิสำหรับการสั่งอาหารผ่านบริการฟู้ดเดลิเวอรี่สามารถใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 06.00–21.00 น. ของทุกวัน

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิคือ ต้องเป็นประชาชนสัญชาติไทย มีบัตรประชาชน อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันลงทะเบียน ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 และไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิจากโครงการคนละครึ่งเฟส 1–5 มาก่อน โดยสิทธิประโยชน์ของโครงการครั้งนี้ ประชาชนทั่วไปจะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสูงสุดวันละ 200 บาทต่อคน โดยรัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่งของยอดใช้จ่าย รวมตลอดโครงการ 2,000 บาทต่อคน และหากเป็นประชาชนผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะได้รับสิทธิ “พลัส” เพิ่มเติม รวมเป็น 2,400 บาทต่อคนตลอดโครงการ

...

สำหรับคำว่า “พลัส” ในโครงการนี้ สะท้อนถึงการเพิ่มสิทธิและประโยชน์มากกว่าคนละครึ่งในเฟสที่ผ่านมา ได้แก่ พลัสสิทธิ ให้สิทธิประชาชนครอบคลุมกว้างขึ้นตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป, พลัสเงินใช้จ่าย โดยเพิ่มวงเงินสำหรับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, พลัสสิทธิพิเศษ ที่ขยายความร่วมมือไปยังร้านค้า ร้านอาหาร ผู้ประกอบการรายย่อย และ SME มากขึ้น รวมถึง พลัสเศรษฐกิจ ที่ช่วยให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในระบบจริง สนับสนุนรายได้ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นและธุรกิจขนาดเล็ก พร้อมทั้งผลักดันให้สังคมไทยเข้าสู่ระบบการทำธุรกรรมดิจิทัลที่โปร่งใส ทันสมัย และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

นายเอกนิติ ย้ำว่า โครงการคนละครึ่งพลัส นอกจากจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนแล้ว ยังเป็นมาตรการที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการรายย่อยและ SME ในช่วงปลายปีได้อย่างเป็นรูปธรรม และโครงการนี้ดำเนินการภายใต้นโยบายแนวคิด Quick Big Win โดย Quick ทำเร็ว จะมีการใช้แอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" และ "ถุงเงิน" ที่มีอยู่แล้วและประชาชนคุ้นเคย สามารถนำมาใช้กับ "คนละครึ่งพลัส" ได้ทันที Big เม็ดเงินใหญ่ ใช้แหล่งเงินงบประมาณรวม 44,000 ล้านบาท มาจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับการสมทบจากประชาชนอีก 44,000 ล้านบาท จะมีเงินหมุนเวียนรวม 88,000 ล้านบาท หากรวมกับเงินที่เติมเข้าบัตรสวัสดิการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 23,000 ล้านบาท จะทำให้มีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรวมกันประมาณแสนล้านบาท ในช่วงพฤศจิกายนถึงธันวาคม คาดว่าจะช่วยกระตุ้นจีดีพีได้ประมาณ 0.3 - 0.4% เมื่อรวมกับการคาดการณ์เดิม 0.3% ในไตรมาสสุดท้ายจีดีพีจะขยายตัวได้อย่างน้อย 0.6% นี่คือจากสองมาตรการ แต่รัฐบาลจะมีมาตรการอื่นออกเพิ่มอีกทุกสัปดาห์ และ Win ผลลัพธ์ที่ประชาชนทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า และผู้ประกอบการ Micro SME จะได้รับประโยชน์ และช่วยให้เกิดการกระจายตัวทางเศรษฐกิจไปทั่วประเทศ

อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม