รมว.คมนาคมเดินหน้าลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับประชาชน ขยายระยะเวลาโครงการค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถึง 30 พ.ย. นี้

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายให้กับทุกหน่วยงานในสังกัด ภายใต้แนวคิด “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน วางโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่ศูนย์กลางคมนาคมของภูมิภาค” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาค

โดยได้กำหนดนโยบายด้านคมนาคมขนส่งและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง “ทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ” แบ่งแผนในการดำเนินการออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ดังนี้

ส่วนที่ 1 : การแก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดภาระประชาชน

  • โดยการขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ทั้งสายสีแดงและสายสีม่วง ไปจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 หากครบกำหนดแล้ว จะตั้งคณะกรรมการร่วมกันระหว่างกระทรวงคมนาคมกับกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาต่ออายุมาตรการนี้อีกครั้ง
  • ยกระดับคุณภาพการบริการระบบคมนาคมทั้งระบบทั้ง “ทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ” ให้เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ เช่น การพิจารณาจัดทำตั๋วร่วมเพื่อให้สามารถเดินทางได้ทุกระบบด้วยตั๋วใบเดียว
  • มอบหมายให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมเจ้าท่า เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง พร้อมเปิดเส้นทางและกำจัดสิ่งกีดขวาง เพื่อการอำนวยความสะดวกต่อพี่น้องประชาชน

...

ส่วนที่ 2 : การเร่งดำเนินโครงการโดยทันที

กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าเชิงรุกและผลักดันโครงการสำคัญ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับประชาชนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2569

  • ให้กรมทางหลวงในการเปิดใช้ถนนพระราม 2 โดยกำหนดเปิดเป็น 2 ช่วง คือ ระยะที่ 1 ทางต่างระดับบางขุนเทียน–เอกชัย เป็นระยะทาง 8.3 กิโลเมตร ภายในเดือนตุลาคม 2568 และ ระยะที่ 2 เอกชัย ไปถึงบ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.3 กิโลเมตร โดยเร่งการเปิดใช้บริการให้ทันก่อนเทศกาลสงกรานต์ ปี 256
  • เปิดใช้มอเตอร์เวย์สาย M81 (บางใหญ่–กาญจนบุรี) ในเดือนตุลาคม 2568 และสาย M6 (บางปะอิน–โคราช) ต้นปี 2569 รวมถึงการเปิดสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 5 ที่จังหวัดบึงกาฬ–บอลิคำไซ
  • ผลักดันรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง ได้แก่ ชุมพร–สุราษฎร์ธานี สุราษฎร์ธานี–หาดใหญ่ และหาดใหญ่–ปาดังเบซาร์
  • แก้ปัญหาจราจรติดขัดในจังหวัดภูเก็ตด้วยโครงการทางพิเศษกะทู้–ป่าตอง และถนนแนวใหม่บ้านเมืองใหม่–สนามบินภูเก็ต
  • ส่งเสริมในการนำรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus) มาใช้เพื่อทดแทนรถร้อนที่มีอยู่ 1,520 คัน ซึ่งนำมาสู่การยกระดับการบริการและลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม แต่จะต้องหามาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าโดยสารต่อไปในอนาคต

ส่วนที่ 3 : การวางรากฐานคมนาคมสำหรับอนาคตในระยะยาว 

กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อรองรับอนาคต

  • โครงการ LANDBRIDGE ที่จะเชื่อมการคมนาคมทางราง ถนน ท่อ และท่าเรือ เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค
  • ก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ อาทิ ขอนแก่น–หนองคาย บ้านไผ่–มุกดาหาร–นครพนม และเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ รวมถึงรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ–โคราช
  • เดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีม่วง พร้อมเร่งรัดการต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งฝั่งเหนือและตะวันตก
  • เพิ่มศักยภาพสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเชียงใหม่ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารและการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง
  • พิจารณาหาข้อยุติในโครงการรถไฟเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ทั้งดอนเมือง-สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา
  • สร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และสะพานเชื่อมทะเลสาบสงขลา เพื่อลดเวลาการเดินทางระหว่างจังหวัด

อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม