พาณิชย์ เผยไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯ ต่อเนื่อง ล่าสุด 7 เดือนแรก ได้ดุลสูงถึงกว่า 9 แสนล้านบาท หลังเร่งส่งออกหนีภาษีตอบโต้ ขณะที่ สคต.แอลเอ ระบุ “ทรัมป์” ยื่นศาลสูงพิจารณาคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ที่ชี้ ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจเก็บภาษีตอบโต้คู่ค้า ถ้าตัดสินให้แพ้ รัฐบาลเตรียมจ่ายเงินภาษีคืนคู่ค้า 7.5 แสนล้านถึง 1 ล้านล้านเหรียญฯ แต่เตรียมแผน 2 ดิ้นเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าต่อแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) ปี 68 ไทยยังคงได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าสูงถึง 904,987 ล้านบาท หรือ 27,374 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการส่งออกถึง 1.321 ล้านล้านบาท หรือ 39,708 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 30.07% เพื่อหนีการเสียภาษีตอบโต้ แต่นำเข้าเพียง 415,823 ล้านบาท หรือ 12,333 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 8.30% ขณะที่เฉพาะเดือนก.ค.68 ไทยได้ดุล 146,985 ล้านบาท หรือ 4,547 ล้านเหรียญฯ จากการส่งออกที่มากถึง 204,492 ล้านบาท หรือ 6,296 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 31.36% แต่นำเข้าเพียง 57,507 ล้านบาท หรือ 1,749 ล้านเหรียญฯ ลดลง 7.459%

สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรกช่วง 7 เดือน ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 10,295 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 81.33%, ผลิตภัณฑ์ยาง 2,783 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 11.83%, เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 2,724 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 9.06%, หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 1,499 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 31.27%, อัญมณีและเครื่องประดับ 1,498 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 35.87%

ส่วนสินค้านำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันดิบ 2,828 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 26.06%, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 1,184 ล้านเหรียญฯ ลด 2.66%, ก๊าซธรรมชาติ 748 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 10.90%, เคมีภัณฑ์ 712 ล้านเหรียญฯ ลด 7.18%, เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 582 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 7.51%

...

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สหรัฐฯได้ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ไทย 19% และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.68 เป็นต้นมานั้น คาดว่า การนำเข้าจากไทยอาจชะลอลง แต่เชื่อว่า สินค้าไทยยังคงแข่งขันได้ในตลาดสหรัฐฯ เพราะคู่แข่งถูกเก็บอัตราใกล้เคียงกัน โดยเวียดนาม 20% มาเลเซีย 19% ฟิลิปปินส์ 19% ฯลฯ

สำหรับกรณีที่เมื่อวันที่ 3 ก.ย.68 ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯได้ตัดสินให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่มีสิทธิภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ที่จะใช้มาตรการภาษีตอบโต้กับคู่ค้าต่างๆ ซึ่งเป็นคำตัดสินยืนจากศาลชั้นต้น หลังจากที่มลรัฐต่างๆ ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลชั้นต้นนั้น ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ยื่นเรื่องต่อศาลสูง ให้พิจารณาคำตัดสินของศาลอุทธรณ์แล้ว

ด้านสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ นครลอสแองเจลิส สหรัฐฯ รายงานว่า หลายฝ่ายเชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ศาลสูงสหรัฐฯ จะตัดสินไปในทางเดียวกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ขณะเดียวกัน รมว.คลังสหรัฐฯ นายสกอตต์ เบสเซนต์ ได้เตือนศาลสูงสหรัฐฯ ในเอกสารที่ยื่นต่อศาล ว่า ถ้าศาลสูง ตัดสินเป็นปฏิปักษ์กับประธานาธิบดี รัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องคืนเงินภาษีนำเข้าที่ได้จากนโยบายภาษีตอบโต้ถึง 750,000 ถึง 1 ล้านล้านเหรียญฯ

อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีได้วางแผนสำรองที่จะเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าไว้แล้ว หากศาลสูงตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ โดยอาจจะเลือกวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ดังนี้ 1.ให้รัฐสภาสหรัฐฯ ออกกฎหมายอัตราภาษีนำเข้า ซึ่งปกติเป็นอำนาจตามรัฐธรรมนูญของรัฐสภาอยู่แล้ว 2.ใช้มาตรา 232 กฎหมายขยายการค้า (The Trade Expansion Act of 1962) ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการเพื่อความมั่นคง เช่นเดียวกับที่ขึ้นภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ ฯลฯ

หรือ 3.ใช้มาตรา 301 กฎหมายการค้า (The Trade Act of 1974) ที่ให้อำนาจผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ใช้ปฏิบัติการทางกฎหมายกับคู่ค้า แต่จะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดี ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จริง จะทำให้ปัญหาและความยุ่งยากในการค้ากับสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไป

ทั้งนี้ สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าจากคู่ค้าแบบเท่ากันทุกประเทศ (baseline) ที่ 10% ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.68 และเริ่มต้นเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) วันที่ 7 ส.ค.68 ประมาณการว่า สหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้แล้วหลายแสนล้านเหรียญฯ เฉพาะในเดือนก.ค.68 เก็บภาษีนำเข้าได้สูงถึง 30,000 ล้านเหรียญฯ สูงกว่าเดือนก.ค.67 ถึง 242%

อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม