"ภราดร" เปิดแหล่งเงิน 60,000 ล้านบาท ใช้งบกลางที่เหลืออยู่ของปีงบ 2568 จำนวน 22,000 ล้านบาท และงบประมาณใหม่ของปีงบ 2569 ทำโครงการ “คนละครึ่งพลัส” แจก 33 ล้านคน ลงทะเบียน ต.ค.นี้

นายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งพลัสของรัฐบาลจะใช้วงเงินงบประมาณรวมประมาณ 60,000 ล้านบาท โดยมีประชาชน 3 กลุ่มหลักที่จะได้เงินรวมกว่า 33 ล้านคน โดยรัฐบาลมีการใช้วงเงินจากงบกลางฯปี 2568 ที่เหลืออยู่ และงบประมาณจากปี 2569

ได้แก่ กลุ่มที่ 1: ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้ถือบัตรคนจนจำนวน 13 ล้านคน จะได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม 1,700 บาทต่อเดือน รวมกับเงินเดิม 300 บาท ทำให้ได้รับรวม 2,000 บาทต่อเดือนในงวดเดียว โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ โครงการนี้ใช้งบประมาณ 22,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากเงินเหลือจ่ายของงบประมาณปี 2568 ที่จะโอนเข้ากองทุนสวัสดิการแห่งรัฐและโอนตรงให้ผู้มีรายได้น้อย

กลุ่มที่ 2 คือผู้อยู่ในระบบภาษีจำนวน 11 ล้านคน (ยื่นแบบภาษี) จะได้รับสิทธิพิเศษในโครงการคนละครึ่งที่ปรับเปลี่ยนจาก 50/50 เป็น 60/40 โดยรัฐบาลจะสมทบ 2,400 บาท และประชาชนเติมเงินอีก 2,000 บาท สามารถจับจ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท

และ กลุ่มที่ 3 คือผู้อยู่นอกระบบภาษีจำนวน 9 ล้านคน จะได้รับการเติมเงิน 2,000 บาท โดยงบประมาณสำหรับทั้ง 2 กลุ่ม คือ 2-3 รวมประมาณ 40,000 ล้านบาท และจะใช้เงินงบประมาณในปีงบประมาณ 2569

ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดให้มีการลงทะเบียนใหม่ในโครงการคนละครึ่งพลัสช่วงต้นเดือน ต.ค. แต่ผู้ที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ขณะที่ผู้ที่อยู่ในเฟสก่อนหน้าหรือไม่เคยเข้าร่วมต้องลงทะเบียนใหม่ โดยประชาชนจะสามารถเริ่มใช้เงินได้ปลายเดือนตุลาคมหากการลงทะเบียนเสร็จสิ้นเรียบร้อย โดยใช้แอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" เช่นเดิม

...

ส่วนแนวทางการแก้หนี้ประชาชนนั้น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังเตรียมจะนำมาใช้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยมุ่งเป้าผู้ที่มีหนี้รายย่อยที่มีหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย 1 – 2 ล้านสิทธิ โดยเป็นลักษณะของการพักชำระหนี้และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการจะครอบคลุมหนี้รายย่อยกับธนาคารของรัฐ เช่น ธกส. ธนาคารกรุงไทย และธนาคารอาคารสงเคราะห์

มาตรการนี้จะมีการพักชำระหนี้และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ นอกจากนี้ รัฐมนตรีคลังยังมีแนวทางการแก้หนี้ NPL ซึ่งคาดว่าจะมีการแถลงรายละเอียดที่ชัดเจนจากกระทรวงการคลังต่อไป