ท่าเรือระนองก้าวสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค หนุนแลนด์บริดจ์เชื่อมจีน-อินเดีย เลี่ยงช่องแคบมะละกา ด้านเอกชนแนะใช้ Sandbox วางรากฐานโครงสร้างพื้นฐาน-เขตปลอดอากร-โรงงานอุตสาหกรรม หนุนเศรษฐกิจระนองเติบโตระยะยาว

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาท่าเรือระนองว่า ปัจจุบันท่าเรือแห่งนี้ถูกวางบทบาทสำคัญในฐานะ “ศูนย์กลางการขนส่งหลายรูปแบบ” (Multimodal Transport Hub) ที่เชื่อมโยงจีนตอนใต้เข้าสู่กลุ่มประเทศ BIMSTEC และมหาสมุทรอินเดีย โดยจะทำหน้าที่คู่ขนานสองบทบาทที่เกื้อหนุนกัน คือ ท่าเรือระนองปัจจุบัน ซึ่งเปรียบเสมือนท่าเรือชายฝั่งสำหรับเรือขนาดเล็กในระดับภูมิภาค ส่วนโครงการท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ในโครงการแลนด์บริดจ์ ที่รัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันนั้น จะกลายเป็นประตูการค้าหลักเพื่อรองรับเรือขนาดใหญ่ในเส้นทางระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า ท่าเรือระนองในปัจจุบันจะมีข้อจำกัดด้านร่องน้ำลึกประมาณ 8 เมตร เหมาะสำหรับเรือ Feeder ขนาดบรรทุก 50-120 ตู้คอนเทนเนอร์ (TEU) ที่เชื่อมโยงการค้ากับตลาดสำคัญอย่างย่างกุ้งและจิตตะกอง ส่วนท่าเรือน้ำลึกใหม่ จะถูกออกแบบให้มีร่องน้ำลึก 18 เมตร ยื่นออกไปในทะเล เพื่อรองรับ Mother Vessel ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 3,000–20,000 TEU โดยตรง ทำให้ไทยมีท่าเรือฝั่งอันดามันที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์เลี่ยงช่องแคบมะละกาที่แออัด

...

“ท่าเรือทั้งสองแห่งไม่ได้แข่งขันกัน แต่จะทำงานเสริมกัน โดยท่าเรือน้ำลึกใหม่จะเน้นรองรับเรือข้ามทวีป ส่วนท่าเรือเดิมจะยังคงเป็นหัวใจของการขนส่งชายฝั่งและภูมิภาค ซึ่งการมี Mother Vessel เข้ามาเทียบท่าจะสร้างอุปสงค์การกระจายสินค้าต่อด้วยเรือเล็ก ส่งผลให้ท่าเรือระนองปัจจุบันคึกคักยิ่งขึ้น“

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า สิ่งที่ทำให้ท่าเรือระนองมีศักยภาพโดดเด่นคือ โครงข่ายโลจิสติกส์ที่เชื่อมตรงจากจีนตอนใต้ โดยมีทั้งเส้นทางถนนตรงมายังระนอง และเส้นทางผสมระหว่างราง-ถนน ผ่านลาวเข้าสู่ชุมพร ก่อนถ่ายสินค้าลงรถบรรทุกมายังท่าเรือระนอง ระยะเวลาเพียง 2-3 วันเมื่อเทียบกับเส้นทางเรือที่ต้องอ้อมผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 สัปดาห์ ขณะที่จากท่าเรือระนองสามารถส่งต่อสินค้าสู่ย่างกุ้งเพียง 2.5 วัน โคลัมโบ 7 วัน และเชนไน 5 วัน ซึ่งสั้นกว่ามากเมื่อเทียบกับเส้นทางเดิม

ขณะเดียวกันทางจีนจึงให้ความสนใจอย่างสูงต่อโครงการแลนด์บริดจ์และท่าเรือระนอง เพราะช่วยแก้ปัญหาคอขวดการขนส่งทางเรือ และยังเชื่อมต่อโดยตรงสู่ตลาดขนาดใหญ่ในภูมิภาค BIMSTEC ที่มีประชากรรวมกว่า 1 ใน 4 ของโลก โดยเฉพาะเมียนมา บังกลาเทศ อินเดีย และศรีลังกา ซึ่งล้วนเป็นตลาดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของไทย ดังนั้นท่าเรือระนองไม่ใช่แค่ท่าเรืออีกแห่ง แต่คือหัวใจของยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ไทยที่จะเชื่อมจีนตอนใต้เข้ากับอินเดียและมหาสมุทรอินเดียอย่างเต็มรูปแบบ

ด้านนายณัฐภูมิ เปาวรัตน์ อำนวยการอาวุโสฝ่ายการค้าพัฒนาธุรกิจและการลงทุน ผู้แทนองค์กรด้านรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGJWD กล่าวว่า ภาคเอกชนมองว่าท่าเรือระนองจะเป็น Gateway Port ของฝั่งอันดามัน โดยใช้โครงสร้างปัจจุบันเป็นทำหน้าที่เตรียมเป็นพื้นที่ต้นแบบ Sandbox ทดสอบเส้นทางจริงทันที ไม่ต้องรอโครงการแลนด์บริดจ์เดินหน้า เพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือกับประเทศกลุ่ม BIMSTEC รับมือความผันผวนโลกและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์

...

นอกจากประโยชน์ทางการค้า โครงการพัฒนาท่าเรือระนองยังมีมิติทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ โดยจะช่วยสร้างงานใหม่ กระตุ้นการลงทุนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ การแปรรูปอาหารทะเล และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดันจังหวัดระนองที่มีศักยภาพสูงด้านอุตสาหกรรมทะเลก้าวขึ้นเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้

ขณะเดียวกันมองว่าการผลักดันโครงการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งกรมศุลกากรในการอำนวยความสะดวกกฎระเบียบการนำเข้า–ส่งออก การสนับสนุนจากพาณิชย์จังหวัด ทูตพาณิชย์ BOI และผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ในอนาคต ยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ยังเตรียมต่อยอดสู่การขนส่งทางอากาศ เช่น การรวบรวมสินค้าล็อตเล็กที่สุวรรณภูมิแล้วส่งต่อทางเรือผ่านระนองไปยังประเทศปลายทาง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความหลากหลายของโครงข่ายขนส่ง ทำให้โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นเส้นทางการค้าใหม่ แต่ยังเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคและสร้างจุดยืนใหม่ให้ไทยบนเวทีการค้าโลก

อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม