การท่าเรือฯ โชว์ศักยภาพท่าเรือระนอง ยอดตู้สินค้าปี 2568 พุ่งแรง กว่า 6.5 พัน ทีอียูต่อปี ตั้งเป้าปีหน้ารองรับ 1-1.2 หมื่น ทีอียูต่อปี สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุน–ผู้ประกอบการ พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการ เสริมบทบาทประตูการค้าอันดามัน เชื่อมโยงเศรษฐกิจการค้าไทยสู่เวทีโลก
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือ กทท. เปิดเผยว่า ท่าเรือระนองถือเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการค้าระหว่างประเทศ ด้วยทำเลซึ่งเป็นประตูการค้าสำคัญที่เชื่อมโยงฝั่งอันดามันกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป รวมถึงกลุ่มประเทศ BIMSTEC อีกทั้งยังตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์สำคัญบนฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย ปัจจุบันท่าเรือระนองมีศักยภาพรองรับการขนส่งสินค้าทั้งตู้คอนเทนเนอร์และสินค้าทั่วไป โดยมีผลการดำเนินงานในรอบ 11 เดือน (ตุลาคม 2567 - สิงหาคม 2568) มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 6,300 ที.อี.ยู. สินค้าผ่านท่า 186,000 ตัน และเรือผ่านท่า 235 เที่ยว โดยคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีงบประมาณ 2568 นี้ จะมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 6,500 ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 140% และสินค้าผ่านท่า 196,000 ตัน ลดลง 39% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคาดการณ์ว่าปีหน้า จะมีปริมาณตู้ผ่านท่า 10,000-12,000 ทีอียู อย่างไรก็ตามแม้ปริมาณสินค้าทั่วไปจะปรับตัวลดลงจากการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเมียนมา แต่ในภาพรวมยังคงมีสินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น กระดาษม้วน ปูนซีเมนต์ อุปกรณ์สุขภัณฑ์ ปุ๋ย เม็ดพลาสติก ยางรถยนต์ เป็นต้น อีกทั้งการขยายตัวของตู้สินค้าซึ่งเป็นปัจจัยจากสถานการณ์ภายในประเทศเมียนมาที่ทำให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้เส้นทางผ่านท่าเรือระนองมากขึ้น รวมถึงการเปิดสัมปทานการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมในประเทศเมียนมาทำให้มีกลุ่มของเรือสนับสนุนปฏิบัติงานทางทะเลมีการใช้บริการผ่านท่าเรือระนองเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นที่ผู้ประกอบการมีต่อท่าเรือระนอง
...
อย่างไรก็ดี ท่าเรือระนองยังมีข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่เชื่อมตรงสู่อ่าวเบงกอล จึงมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในการเป็น Western Gateway ของประเทศไทยไปยังกลุ่มประเทศ BIMSTEC และภูมิภาคอื่นๆ ในอนาคต โดยได้มีการขยายความร่วมมือกับท่าเรือพันธมิตรในภูมิภาค BIMSTEC และอาเซียน ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับท่าเรือที่มีศักยภาพในประเทศบังกลาเทศ อินเดีย และศรีลังกา ซึ่งได้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Joint Working Group Meeting) อย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและหารือแนวทางพัฒนาความร่วมมือเกี่ยวกับท่าเรือระหว่างกันในอนาคต รวมถึงสนับสนุนการค้าและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ อันจะช่วยผลักดันท่าเรือระนองสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ที่สำคัญในภูมิภาค ซึ่งการขนส่งสินค้าในเส้นทางระนอง–BIMSTEC ไม่ใช่เพียงแค่การเชื่อมต่อท่าเรือกับท่าเรือ แต่เป็นการเชื่อมเศรษฐกิจของไทยเข้ากับโอกาสใหม่ในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้เพื่อขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน และการสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาค
กทท. พร้อมเดินหน้าพัฒนาท่าเรือระนองทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบการบริหารจัดการให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการด้านโลจิสติกส์ ผลักดันท่าเรือระนองให้เป็นท่าเรือยุทธศาสตร์ที่สนับสนุนการค้า การขนส่งระหว่างประเทศ ตอบรับการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต รวมทั้งการจัดหาเครนและเครื่องมือทุ่นแรงใหม่ การปรับปรุงคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ ตลอดจนการเชื่อมโยงเครือข่ายถนน–ราง–อากาศ เพื่อรองรับปริมาณสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น และลดการพึ่งพาช่องแคบมะละกา เสริมศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาด BIMSTEC และอาเซียน
สำหรับ Positioning ของท่าเรือระนองในอนาคต หากรัฐบาลเริ่มมีการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะเชื่อมโยงท่าเรือชุมพร กับ ท่าเรือระนองแห่งใหม่ เพื่อสร้างเส้นทางลัดการค้าระหว่างอ่าวไทยกับฝั่งอันดามัน บทบาทของท่าเรือระนองจะปรับบทบาทจากท่าเรือหลัก ไปเป็นท่าเรือสนับสนุนที่เน้นตลาดเฉพาะ (Niche Market) เช่น สินค้าแช่แข็ง สินค้าชายแดนไทย-เมียนมา และสินค้า Fast-track ฯลฯตลอดจนการมุ่งสู่การเป็นฐานโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้าที่จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มด้านคลังสินค้า เพื่อสนับสนุนการค้าชายแดนและภูมิภาค (BIMSTEC, South Asia) และดึงดูดธุรกิจ SME หรือธุรกิจท้องถิ่นให้มาใช้บริการ ซึ่งเป็นการพลิกบทบาทจากท่าเรือหลักสู่ฐานสนับสนุนแลนด์บริดจ์
...
นอกจากนี้ ท่าเรือระนองยังสามารถทำหน้าที่เตรียมเป็นพื้นที่ต้นแบบ (Sandbox) ให้กับโครงการ แลนด์บริดจ์ในเชิงนโยบายและปฏิบัติการ โดยเป็นฐานทดลองระบบโลจิสติกส์หลายด้าน เช่น การเชื่อมโยงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) ระบบดิจิทัล ระบบการจัดการของกรมศุลกากร และการทดลองโมเดล Green Port เพื่อรองรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเป็นพื้นที่ต้นแบบนี้จะทำให้ท่าเรือระนองเดิมเป็นแม่แบบสำคัญที่ขยายผลและต่อยอดไปสู่การพัฒนาท่าเรือระนองแห่งใหม่ของโครงการ Land bridge ให้ประสบความสำเร็จในอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป
สำหรับข้อมูลทั่วไปท่าเรือระนองมีท่าเทียบเรือ 2 ท่า ได้แก่ ท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ความยาว 134 เมตร รองรับเรือสินค้าไม่เกิน 500 ตันกรอส และท่าเทียบเรือตู้สินค้าความยาว 150 เมตร รองรับเรือสินค้าไม่เกิน 12,000 เดดเวทตัน อีกทั้งยังมีร่องน้ำกว้าง 120 เมตร ลึก 8 เมตร จากระดับน้ำลงต่ำสุด ระยะทาง 28 กิโลเมตร ซึ่งเหมาะสมต่อการเดินเรือและการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จัดเก็บสินค้าทั้งคลังสินค้า ลานวางสินค้าทั่วไป และลานวางตู้คอนเทนเนอร์ รวมพื้นที่มากกว่า 36,000 ตารางเมตร รองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้สูงสุดถึง 648 ที.อี.ยู.
...
อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม