รฟท. อัปเดต รถไฟทางคู่สายใหม่ “เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ” มูลค่า 8.5 หมื่นล้าน งานโยธาเดินหน้าตามเป้า คืบ 40.656% ปักธงพร้อมเปิดใช้ปี 2571 หนุนเส้นทางเศรษฐกิจใหม่เชื่อมชายแดน เดินหน้าเชิงรุก รับมือน้ำท่วมภาคเหนือ ผุดแผน “ด่วน-ปรับ-ตาม” ลดความเสี่ยงกระทบโครงการก่อสร้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่า ขณะนี้การรถไฟได้เร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทางรวม 323.10 กิโลเมตร (กม.) มูลค่า 85,345 ล้านบาท ปัจจุบันพบว่ามีความคืบหน้าในภาพรวมโครงการงานก่อสร้างอยู่ที่ 41.986% ขณะที่ความก้าวหน้างานโยธาอยู่ที่ 40.656% เร็วกว่าแผนประมาณ 1.331% โดยโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับโครงข่ายรางไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งภูมิภาค โดยจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้า เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ และรองรับการท่องเที่ยวภาคเหนือที่กำลังเติบโต คาดว่าก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2571

สำหรับความคืบหน้าทั้ง 3 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 104 กิโลเมตร มีความก้าวหน้างานโยธา 38.915% ความคืบหน้าสะสม 41.234% ช้ากว่าแผน 2.31% สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ระยะทาง 132 กิโลเมตร ความก้าวหน้างานโยธา 48.062% แผนงานสะสม 44.64% ภาพรวมเร็วกว่าแผน 3.415% และสัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 86 กิโลเมตร ความก้าวหน้างานโยธา 37.767% แผนงานสะสม 34.325% เร็วกว่าแผน 3.42%

...

ขณะที่งานอุโมงค์ 4 แห่งซึ่งถือเป็นโครงสร้างสำคัญ ได้แก่ อุโมงค์สอง ความก้าวหน้า 87.47% แผนงานสะสม 73.15% ช้ากว่าแผน 14.32% อุโมงค์งาว ความก้าวหน้า 52.78% แผนงานสะสม 55.09% เร็วกว่าแผน 3.12% อุโมงค์แม่กา ความก้าวหน้า 53.73% แผนงานสะสม 61.94% เร็วกว่าแผน 8.12% และอุโมงค์ดอยหลวง ความก้าวหน้า 50.56% แผนงานสะสม 59.16% เร็วกว่าแผน 8.16%

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้โครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ได้รับผลกระทบจากพายุวิภา ที่พาดผ่านพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ซึ่งสร้างผลกระทบต่อโครงการบางช่วงที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน อาทิ พื้นที่สะพานรถไฟ (Railway Bridge - RB) และพื้นที่ติดตั้งระบบระบายน้ำ ซึ่งพบว่ามีมวลน้ำไหลเข้าท่วมบางส่วน รฟท. จึงสั่งให้ผู้รับจ้างหยุดหรือชะลอการดำเนินงานชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม จากอุปสรรคความท้าทายจากสภาพอากาศแปรปรวนและเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รฟท. จึงได้ปรับแผนรับมือด้วยกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อโครงการก่อสร้าง แผนปฏิบัติการดังกล่าวยึดแนวทาง “ด่วน-ปรับ-ตาม” (React-Improve-Forecast) โดยจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ครอบคลุม 3 มิติสำคัญ

ได้แก่ การแก้ไขสถานการณ์เร่งด่วน (React & Monitor) เฝ้าระวังน้ำหลาก แจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยง ระดมกำลังเครื่องจักรและอุปกรณ์พร้อมเข้าปฏิบัติการฉุกเฉิน เรียนรู้และปรับปรุง (Adapt & Improve) วิเคราะห์และปรับรูปแบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบระบายน้ำ ท่อระบายน้ำ (Pipe Culvert) และการเสริมคันทางรถไฟให้ทนทานต่อสภาพอากาศสุดขั้ว และติดตามและพยากรณ์ป้องกันเชิงรุก (Prevent & Forecast): ร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น สำรวจพื้นที่เสี่ยง ซักซ้อมแผนรับมือภัยน้ำท่วม และใช้เทคโนโลยีตรวจสอบติดตามสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ รวมถึงประชุมหารือและลงพื้นที่ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ และชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมกันหาแนวทางแก้ไข โดยยึดเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างระบบทางรถไฟที่ปลอดภัย มั่นคง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

...

สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ หากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางได้เร็วกว่า 1-1.30 ชั่วโมง (ชม.) เมื่อเทียบกับการเดินทางด้วยรถยนต์ ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจการค้า สร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ที่เส้นทางตัดผ่าน ช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล สำหรับรถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กม. นั้น เส้นทางผ่านพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย ซึ่งอยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จำนวน 3 จังหวัด (ยกเว้น จ.ลำปาง) 17 อำเภอ 59 ตำบล มีสถานีและที่หยุดรถไฟรวม 26 แห่ง มีย่านกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า (CY) จำนวน 4 แห่ง

อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวถือเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญที่ช่วยยกระดับระบบคมนาคมขนส่งของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เปิดประตูสู่การค้าชายแดนภาคเหนือ และเพิ่มช่องทางในการส่งออกสินค้าจากไทย ซึ่งจะสร้างโอกาสที่ดีต่อการค้าการลงทุนของประเทศในภาพรวม โดยเส้นทางรถไฟสายนี้ยังโดดเด่นด้วยทัศนียภาพทางธรรมชาติที่งดงามตลอดเส้นทาง รถไฟจะแล่นผ่านเทือกเขา สลับกับสะพานและอุโมงค์ ซึ่งจะสร้างความประทับใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิมและสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ อันจะนำมาซึ่งรายได้สู่ประชาชนในพื้นที่ที่เส้นทางพาดผ่าน และยังช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน


อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม

...