“นายกฯอนุทิน” ขนว่าที่ครม.เศรษฐกิจ พบ หอการค้าไทย รับลูกนำข้อเสนอมาบรรจุเป็นนโยบายเศรษฐกิจ เดินหน้าเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้น ใจกว้างร่วมงานผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่สนว่าใครเป็นคนคิด ย้ำใน 4 เดือนนี้ เศรษฐกิจไทยไม่ถดถอยแน่นอน ด้าน “เอกนิติ” สั่งธปท.จับตาเงินไหลเข้าผิดปกติป่วนบาทแข็ง ขณะที่ “หอการค้า” ชง 4 มาตรการเร่งด่วนรัฐบาลใหม่ฟื้นเศรษฐกิจ เชื่อ “ทีมใหม่” ขับเคลื่อนได้แน่
นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังนำคณะ เช่น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง , นายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าที่รมช.คลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ว่าที่รมว.พลังงาน , นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่รมว.พาณิชย์ มาหารือกับหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ถึงแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะเร่งด่วนว่า ได้มารับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ และความต้องการจากภาคเอกชนที่จะให้รัฐบาลสนับสนุนและช่วยเหลือ เพื่อให้การประกอบธุรกิจคล่องตัว ซึ่งมีทั้งเรื่องของปัญหาเงินทุน หนี้ครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย ค่าพลังงาน แรงงาน โลจิสติกส์ และโอกาสของประเทศไทยในอนาคต เพื่อทลายข้อจำกัดในการทำธุรกิจ โดยจะรวบรวมข้อเสนอภาคเอกชนทั้งหมด เข้าไปประกอบเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไปได้อย่างรวดเร็ว
...
“เราจะเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งในช่วงระยะเวลา 4 เดือนที่เข้ามาบริหารประเทศ หลังจากแถลงนโยบายแล้ว ยืนยันว่า เศรษฐกิจจะไม่ถอยหลังแน่นอน จะพยายามเต็มที่ เพื่อทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ผมใจกว้าง ไม่คิดหรอกว่า นโยบายที่ผลักดัน เป็นนโยบายของใคร กลุ่มใด หรือผมไม่ได้คิดเอง แต่ถ้าเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประเทศ ผมทำหมด เพราะเวลามีแค่นี้ ถ้าจะไปกลัวใครดีเด่นดัง หรือได้เครดิต ไม่ได้แล้ว ถ้าเกิดผลักดันแล้วสำเร็จ คนที่คิดโครงการนั้นก็ได้เครดิต ตัวผมผู้ผลักดันก็ได้ ก็วินวิน ไม่ใช่คนหนึ่งชนะคนหนึ่งแพ้ ถ้าอย่างนั้นก็นำไปสู่ความขัดแย้ง ถ้าวินวินด้วยกัน ผมก็ไม่สนใจ”
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รมว.คลัง กล่าวถึงกระแสข่าวมีเงินทุนไหลเข้าผิดปกติมายังประเทศไทย ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วว่า ประเด็นดังกล่าว ได้หารือร่วมกับนายวิทัย รัตนากร ว่าที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเตรียมมาตรการรองรับ และรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทให้เหมาะสมไว้แล้ว ส่วนประเด็นกระแสเงินไหลเข้าผิดปกติในขณะนี้ ระหว่างนี้ได้มอบให้ธปท.พิจารณา และหามาตรการรับมือแล้ว แต่การทำงานเต็มรูปแบบ จะต้องรอให้แต่งตั้งครม.อย่างเป็นทางการก่อน
ส่วนพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้เสนอมาตรการระยะเร่งด่วน 4 เดือนให้รัฐบาลใหม่เร่งทำทันที เริ่มจากเร่งรัดการเจรจาภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ควบคู่กับการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง, ธปท.ควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ประมาณ 34–35 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านการส่งออก, เดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ เช่น คนละครึ่ง และอีซี่ อี-รีซีท รวมถึงรณรงค์ใช้ของไทย ฟื้นเอสเอ็มอี
พร้อมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 68 เพื่อช่วยเพิ่มการจ้างงาน, ตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ และยกระดับมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีน ควบคู่กับการลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์หมวดไลฟ์สไตล์ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่, จัดสรรงบประมาณ 10,000 ล้านบาท บรรเทาความเสียหายจากหนี้เสียให้กับเอสเอ็มอี และเร่งผลักดันโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโดยใช้เอสเอ็มอีไทย , แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน, บรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านมาตรการลดดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี และการปรับลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% เป็นเวลา 1 ปี , เดินหน้าปราบคอร์รัปชัน ยาเสพติด พนันออนไลน์ ค้ามนุษย์
...
ส่วนมาตรการระยะกลาง 8 เดือน เช่น เร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรขาออกภายใน 7-14 วัน เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ส่งออก, พัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของตลาด , ควรเร่งแก้ปัญหาหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยใช้แนวทางปรับโครงสร้างหนี้และขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ที่ถูกกฎหมาย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ลดต้นทุนเสริมสภาพคล่อง
“ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่เพียงมาตรการเฉพาะหน้า แต่คือแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ที่จะสร้างความหวังและความเชื่อมั่น หากรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง หอการค้าฯ เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาแข็งแรง และพร้อมสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศและสังคมไทย”
...
นอกจากนี้ ยังได้รวบรวมข้อเสนอจากหอการค้าทั่วประเทศในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ต่อนายกฯ 7 ด้าน ประกอบด้วย
1.เสริมสร้างความเชื่อมั่นของประเทศ
2.เพิ่มสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
3.ลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนประชาชน
4.ส่งเสริมการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ ค้าขายเป็นธรรม สร้างความสามารถแข่งขันให้เอสเอ็มอี
5.รักษาความปลอดภัยและเสถียรภาพทางสังคม โดยเฉพาะชายแดน
6.เตรียมแผนรับมือความเสี่ยงการค้าระหว่างประเทศ
และ7.กระตุ้นกำลังซื้อและการท่องเที่ยว โดยหวังว่า รัฐบาลจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน
อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม