‘มาครง’ ว่าที่ ปธน.ใหม่แดนน้ำหอม ต้องลุ้นต่อในการเลือกตั้ง ส.ส.เดือนหน้า ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของไทย ชี้นโยบายของมาครงไม่ต่างจากเดิม มองเลือกตั้งฝรั่งเศส เหมือน ‘คนพายเรือในอ่างชนะคนพายเรือออกทะเล’

จากชัยชนะของนายเอ็มมานูเอล มาครง ผู้สมัครจากพรรค En Marche (EM) ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบสองในฝรั่งเศส เมื่อ 7 พ.ค. เหนือคู่แข่งนางมารีน เลอ แปน จากพรรคขวาจัด National Front (NF) ไปอย่างลอยลำนั้น นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี มองว่า ฝรั่งเศสยังมีความท้าทาย หลังนายมาครงชนะนางเลอ แปน ในการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสซึ่งก็ไม่น่าสร้างความตื่นเต้นแต่อย่างไร เพราะต้องมาดูกันว่านายมาครงจะสามารถรวบรวมคะแนนเสียงจากสภาในการให้ความเห็นชอบเขาในการบริหารประเทศมากน้อยเพียงใด ซึ่งการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฝรั่งเศสจะมีขึ้นในวันที่ 11 และ 18 มิ.ย. และพรรคของนายมาครง ซึ่งเป็นพรรคใหม่ ไม่น่าที่จะได้รับเสียงอย่างท่วมท้นเหมือนการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา 

ตามมุมมองของนายอมรเทพ มองว่า มีความเป็นไปได้สูงที่นายมาครงจะจับมือเป็นพันธมิตรกับพรรคอื่นหลังการเลือกตั้งในเดือนหน้า อย่างไรก็ดี หากนายมาครงไม่มีคะแนนเสียงมาสนับสนุนอย่างทั่วถึง เขาอาจทำได้เพียงเป็นประธานาธิบดีเป็ดง่อย (lame duck) หรือไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างเต็มที่เพราะขาดเสียงสนับสนุนจากสภา

...

 

‘ต่อให้นายมาครงได้เสียงสนับสนุนในการดำเนินนโยบาย ‘Pro-Europe’ อย่างเต็มที่ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะสามารถนำฝรั่งเศสให้เข้มแข็งได้ เพราะนโยบายของเขาไม่ต่างกับ "คนพายเรือในอ่าง" คือทำอะไรเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ที่จะนำฝรั่งเศสให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร่งขึ้น หรือการว่างงานให้ลดลงได้จากระดับปัจจุบันที่สูงกว่า 10%’ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบีแสดงความเห็น พร้อมระบุว่า ‘ที่ผ่านมาหลังวิกฤติการเงินโลกปี 2008 การเติบโตของรายได้ต่อหัวของฝรั่งเศสต่ำมาก น้อยกว่า 1% และต่ำเป็นอันดับสองรองจากอิตาลีในกลุ่ม G7 การเชื่อมโยงกับยุโรปให้มากขึ้นอย่างเหนียวแน่นคงไม่มีอะไรต่างจากเดิม แต่ยังไง คนที่พายเรือในอ่างก็คงดีกว่าคนที่พายเรือออกทะเลอย่างเลอ แปน ในนโยบายถอนตัวออกจากอียูและสกุลเงินยูโร ซึ่งไม่รู้เลยว่าจะถึงฝั่งหรือประสบความสำเร็จ หรือจะนำประเทศไปตายกลางทะเล’

โดยสรุป ฝรั่งเศสคงไม่อยากพายเรือในอ่างไปเรื่อยๆ จนเศรษฐกิจตกต่ำเหมือนอิตาลี แต่คงหาหนทางสร้างความสามารถในการแข่งขัน และหวังหาหนทางในการสร้างความยิ่งใหญ่อีกครั้งในอ้อมกอดของอียู เราคงต้องจับตาดูการเลือกตั้งในเดือนหน้าว่าประธานาธิบดีมาครงจะสามารถร่วมมือกับสภาผู้แทนใหม่ของฝรั่งเศสในการออกนโยบายใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจฝรั่งเศสให้สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ โดยไม่ทิ้งอียู แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ผลกระทบต่อไทยก็คงจำกัด เพราะสัดส่วนการส่งออกไทยไปฝรั่งเศสมีเพียง 0.7% นักท่องเที่ยวฝรั่งเศสก็มีเพียง 2% อีกทั้งฝรั่งเศสก็ไม่ใช่นักลงทุนรายสำคัญของไทย เราคงได้แต่เฝ้าดูห่างๆ และหวังว่ายุโรปโดยรวมจะฟื้น เพราะนั่นต่างหากที่เป็นตลาดหลักของเรา

แม้ไม่มีอะไรหวือหวาเกินความคาดหมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีความชัดเจนทางการเมือง ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทางธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB ปรับลดวงเงินในมาตรการ QE ช่วงกลางปีนี้ พร้อมส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยได้ในไม่ช้า เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทิศทางเงินบาทคงไม่ได้เคลื่อนไหวตามเงินยูโรหรือปัจจัยจากการเมืองฝรั่งเศสมากนัก แต่นักลงทุนน่าจะให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ ตามตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาดีในวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่คาดว่าน่าจะสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือน มิ.ย. อันจะส่งผลให้เงินไหลออกและบาทอ่อนค่าได้อีกนับจากนี้ไปถึงช่วงกลางปี โอกาสเห็นบาทไปยืนเหนือระดับ 35.00 มีได้สูง นักลงทุนควรป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน.