ชาวเน็ตจีนแห่คอมเมนต์วิจารณ์นโยบายลูกคนเดียวในอดีต หลังการเสียชีวิตของ "เผิง เพ่ยหยุน" อดีตประธานคณะกรรมการวางแผนครอบครัวฯ โดยมองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ประชากรจีนลดฮวบและเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว พร้อมระบุ "เด็กที่ไม่มีโอกาสได้เกิด กำลังรอคุณอยู่ในภพหน้า"
กลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกโซเชียลมีเดียของจีนตลอดสัปดาห์นี้ เมื่อข่าวการเสียชีวิตของ นางเผิง เพ่ยหยุน (Peng Peiyun) อดีตประธานคณะกรรมการวางแผนครอบครัว ผู้ควบคุมนโยบายลูกคนเดียวของจีนในช่วงปี 1988-1998 ได้รับกระแสตอบรับที่เต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ แทนที่จะเป็นการไว้อาลัยตามปกติ
นางเผิงเสียชีวิตลงที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (21 ธ.ค.) ในวัยเกือบ 96 ปี โดยสื่อของรัฐบาลจีนได้ยกย่องเธอว่าเป็น "ผู้นำที่โดดเด่น" ในงานด้านสตรีและเด็ก อย่างไรก็ตาม ในแพลตฟอร์มเว่ยป๋อ กลับเต็มไปด้วยข้อความตัดพ้อและโจมตีผลลัพธ์ของนโยบายที่เธอเคยกำกับดูแล
หนึ่งในข้อความที่มีผู้โพสต์ระบุถึงการบังคับทำแท้งและทำหมันที่เป็นผลพวงจากนโยบายคุมกำเนิดสุดโต่งในอดีต ระบุ "เด็กๆ เหล่านั้นที่สูญเสียไป กำลังรอคุณอยู่ที่นั่น (ภพหน้า)"
นโยบายลูกคนเดียวถูกนำมาใช้ระหว่างปี 1980 ถึง 2015 เนื่องจากความกังวลเรื่องประชากรล้นประเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างรุนแรงในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีค่านิยมอยากมีบุตรชายเพื่อสืบสกุลและดูแลยามแก่เถอะ จนนำไปสู่ปัญหาการทำแท้งทารกเพศหญิงและการทอดทิ้งเด็ก
ชาวเน็ตรายหนึ่งโพสต์ว่า "ถ้าเราเลิกใช้นโยบายลูกคนเดียวก่อนหน้านั้นสัก 10 ปี ประชากรจีนคงไม่ดิ่งเหวขนาดนี้!" ขณะที่อีกรายเสริมว่า "เด็กเหล่านั้นถ้าได้เกิดมา ตอนนี้คงอยู่ในวัยเกือบ 40 ปี ซึ่งเป็นวัยที่สร้างพลังให้ประเทศได้มากที่สุด"
...
ปัจจุบัน จีนกำลังเผชิญกับภาวะประชากรลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยข้อมูลล่าสุดในปี 2024 ประชากรลดลงเหลือ 1.39 พันล้านคน และเสียตำแหน่งประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกให้กับอินเดียไปเมื่อปี 2023
แม้ในช่วงปี 2010 นางเผิงจะเริ่มเปลี่ยนทัศนคติและเสนอให้ผ่อนปรนนโยบายลง แต่ดูเหมือนจะสายเกินไป ปัจจุบันรัฐบาลจีนพยายามทุกวิถีทางเพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด ทั้งการให้เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็ก การเพิ่มวันลาคลอด และสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาสังคมสูงวัยและการขาดแคลนแรงงานได้
วิกฤตนี้สร้างความกังวลว่าเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน จะต้องแบกรับภาระงบประมาณมหาศาลในการดูแลผู้สูงอายุ ท่ามกลางจำนวนคนวัยทำงานที่น้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งจะกลายเป็นระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้.
ที่มา Reuters