"มิน อ่อง หล่าย" ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาเตือนประชาชนไม่ใช้สิทธิเลือกตั้ง 28 ธ.ค. เท่ากับขัดขวางประชาธิปไตย ขณะที่กระแสต่อต้านเลือกตั้งมาแรงถล่มทลาย
วันที่ 24 ธันวาคม 2568 พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ออกโรงเตือนประชาชนว่าการปฏิเสธไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เท่ากับเป็นการปฏิเสธ "ความก้าวหน้าสู่ประชาธิปไตย" ขณะที่สถานการณ์การเมืองเมียนมาทวีความตึงเครียดอย่างหนีก ก่อนการเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลทหารซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคม หรือในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
คำกล่าวของพลเอกอาวุโสมิน อ่องหล่าย มีขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ระหว่างที่มิน อ่อง หล่าย เดินทางไปยังเมือง มะเกว เพื่อพบปะนายทหารและครอบครัวทหาร และมีขึ้นท่ามกลางกระแสคว่ำบาตรการเลือกตั้งอย่างกว้างขวาง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลทหารประสบปัญหาอย่างหนักในการระดมการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ความชอบธรรมแก่การปกครองของกองทัพ
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลทหารได้พยายามแก้สถานการณ์ด้วยการส่งดารา และคนดังที่ฝักใฝ่กองทัพ ลงพื้นที่เมืองที่เพิ่งยึดคืนได้ในรัฐฉานตอนเหนือ อาทิ จ๊อกแม้ และ หนองคิโอ จัดกิจกรรมร้องเพลง เต้นรำ และรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน มิน อ่อง หล่าย และ พลเอกโซ วิน รองผู้นำรัฐบาลทหาร เดินสายตามเมืองสำคัญ เรียกร้องให้ประชาชนสนับสนุนผู้สมัครที่มีแนวคิดด้านความมั่นคง และสามารถทำงานร่วมกับกองทัพได้อย่างสอดคล้อง
โดยหลังสูญเสียการควบคุมพื้นที่จำนวนมาก รัฐบาลทหารวางแผนจัดการเลือกตั้งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ วันที่ 28 ธันวาคม 2568 ตามด้วย 11 มกราคม 2569 และช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม โดยมีพรรคการเมืองลงสมัครทั้งหมด 57 พรรค ซึ่งพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา ที่กองทัพหนุนหลังและมีการส่งผู้สมัครมากที่สุด และยังมีการคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่า มิน อ่องหล่ายอาจหวนคืนตำแหน่งประธานาธิบดี ด้วยแรงสนับสนุนจาก ส.ส.ทหาร และพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา โดยรัฐธรรมนูญที่กองทัพร่างเอง กำหนดให้ทหารครองที่นั่งในสภา 25% โดยอัตโนมัติ ทำให้พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา ต้องการคะแนนเสียงเพียง 26% ก็สามารถสืบทอดอำนาจได้
...
ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้จัดขึ้นเกือบ 5 ปีหลังรัฐประหารปี 2563 ซึ่งกองทัพล้มล้างผลการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นในปีนั้น และโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ทำให้คะแนนเสียงของประชาชนกว่า 27 ล้านคน สูญเปล่าทั้งที่การเลือกตั้งในครั้งนี้ได้รับการรับรองจากผู้สังเกตการณ์ทั้งในและต่างประเทศ.
ที่มา Irrawaddy