สภาจังหวัดนีงาตะลงมติครั้งสำคัญที่จะชี้ชะตาการกลับมาเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ "คาชิวาซากิ-คาริวะ" ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 220 กิโลเมตร โรงไฟฟ้าแห่งนี้ถูกระงับการใช้งานมาตั้งแต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิถล่มโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ไดอิจิ เมื่อปี 2011 ซึ่งเป็นภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่เชอร์โนบิล

ด้านกลุ่มผู้ประท้วงประมาณ 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ได้รวมตัวกันหน้าอาคารสภาจังหวัดนีงาตะท่ามกลางอากาศหนาวจัดท่ามกลางอุณหภูมิเพียง 6 องศาเซลเซียส พร้อมชูป้ายข้อความ "ไม่เอานิวเคลียร์" และ "คัดค้านการเดินเครื่องคาชิวาซากิ-คาริวะ" พร้อมร่วมกันร้องเพลง "ฟูรูซาโตะ" ซึ่งเป็นเพลงที่สื่อถึงความรักในบ้านเกิด โดยหนึ่งในผู้ประท้วงตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของบริษัท โตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ หรือ เทปโก ซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ว่ามีความพร้อมเพียงพอหรือไม่ที่จะกลับมาดูแลโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้

ในวันนี้ (22 ธ.ค.) สภาจังหวัดนีงาตะได้ลงมติไว้วางใจนายฮิเดโยะ ฮานาซูมิ ผู้ว่าราชการจังหวัดนีงาตะ  ซึ่งให้การสนับสนุนการเปิดโรงไฟฟ้าอีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้โรงไฟฟ้าสามารถเริ่มดำเนินการได้อีกครั้ง แม้ว่าสมาชิกสภาจะลงมติสนับสนุนฮานาซูมิ แต่การประชุมสภาซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปี ได้เผยให้เห็นความแตกแยกในชุมชนเกี่ยวกับการเปิดโรงไฟฟ้าอีกครั้ง แม้ว่าจะมีการสร้างงานใหม่และค่าไฟฟ้าที่อาจลดลงก็ตาม

ด้านนายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทากาอิจิ ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ 2 เดือน แสดงท่าทีสนับสนุนการฟื้นฟูพลังงานนิวเคลียร์อย่างชัดเจน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว และถ่านหิน ซึ่งในปีที่ผ่านมาญี่ปุ่นต้องสูญเงินไปกว่า 10.7 ล้านล้านเยน (ราว 2.12 ล้านล้านบาท) นอกจากนี้ ความต้องการใช้ไฟฟ้าในญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นจากการขยายตัวของศูนย์ข้อมูล AI ทำให้รัฐบาลตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานนิวเคลียร์ให้เป็น 20% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2040

...

แม้เทปโกจะพยายามซื้อใจชาวเมืองด้วยการอัดฉีดเงินงบประมาณกว่า 100,000 ล้านเยน (ราว 19,830 ล้านบาท) เข้าสู่จังหวัดในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ผลสำรวจล่าสุดพบว่า ประชาชนชาวนีงาตะถึง 60% เห็นว่าสภาพแวดล้อมยังไม่พร้อมสำหรับการเดินเครื่องใหม่ และ 70% ยังคงกังวลต่อการบริหารงานของเทปโก

หากได้รับการอนุมัติ คาดว่าเทปโกจะเริ่มเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์เครื่องแรกจากทั้งหมด 7 เครื่องได้ในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้กรุงโตเกียวได้ทันทีถึง 2% โดยทางบริษัทให้คำมั่นว่าจะยึดถือความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่งและจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างแน่นอน.


ที่มา Reuters