กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยืนยันลบภาพอย่างน้อย 13 ภาพ จากเอกสารคดีเจฟฟรีย์ เอปสตีน หลังมีข้อกังวลจากกลุ่มเหยื่อ รวมถึงภาพที่มีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนนำกลับขึ้นใหม่บางรายการ ท่ามกลางคำถามเรื่องความโปร่งใสจากฝ่ายนิติบัญญัติ

ทอดด์ แบลนช์ รองอัยการสูงสุดสหรัฐฯ ออกมาชี้แจงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กรณีที่มีการลบไฟล์ภาพอย่างน้อย 13 ไฟล์ ออกจากฐานข้อมูลคดีของ เจฟฟรีย์ เอปสตีน นักการเงินผู้อื้อฉาวเรื่องเป็นธุระจัดหาการค้าประเวณีให้แก่คนมีชื่อเสียง ที่ถูกตัดสินความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศเด็ก โดยยืนยันว่าการลบภาพที่มีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฏอยู่นั้น "ไม่เกี่ยวกับการเมือง" แต่ทำไปเพื่อปกป้องสิทธิของเหยื่อตามคำสั่งศาล

ไทม์ไลน์เหตุการณ์และความกังขาจากสังคมเอกสารจำนวนหลายพันฉบับถูกเผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อวันศุกร์ (19 ธ.ค.) ตามกฎหมายที่สภาคองเกรสกำหนด แต่ในวันเสาร์ กลับพบว่าไฟล์ภาพบางส่วนหายไปอย่างไร้คำอธิบาย หนึ่งในนั้นคือภาพถ่ายบนโต๊ะทำงานในบ้านของเอปสตีน ซึ่งปรากฏรูปภาพของโดนัลด์ ทรัมป์, เมลาเนีย ทรัมป์, เอปสตีน และ กิสเลน แมกซ์เวลล์ ผู้สมรู้ร่วมคิด รวมถึงภาพถ่ายห้องนวดที่มีภาพวาดและภาพถ่ายนู้ดจำนวนมากบนผนัง ซึ่งบางภาพไม่มีการเซ็นเซอร์ใบหน้าหญิงสาว

ทางด้านพรรคเดโมแครตในคณะกรรมการกำกับดูแลของสภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้งคำถามถึง แพม บอนดี รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม โดยระบุว่า "มีการพยายามปกปิดอะไรอีกหรือไม่?" พร้อมเรียกร้องความโปร่งใสให้แก่ประชาชนชาวอเมริกัน

คำชี้แจงจากกระทรวงยุติธรรมทอดด์ แบลนช์ ระบุว่าข้อกล่าวหาที่ว่าลบภาพเพราะมีทรัมป์อยู่นั้นเป็นเรื่อง "น่าขัน" เนื่องจากมีภาพของทรัมป์คู่กับเอปสตีนถูกเผยแพร่ออกไปก่อนหน้านี้จำนวนมากอยู่แล้ว เหตุผลที่แท้จริงคือการตรวจสอบว่ามีบุคคลในภาพเป็นเหยื่อหรือไม่ ซึ่งหลังจากการตรวจสอบซ้ำ พบว่าไม่มีเหยื่อปรากฏในภาพดังกล่าว จึงได้นำภาพถ่ายของทรัมป์กลับมาโพสต์ใหม่โดยไม่มีการแก้ไขใดๆ เมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์

...

แรงกดดันจาก โทมัส แมสซี สส. พรรครีพับลิกันจากรัฐเคนตักกี้ ซึ่งเป็นหัวหอกในการผลักดันให้เปิดเผยไฟล์นี้ แสดงความไม่พอใจต่อท่าทีของรัฐบาลทรัมป์ โดยระบุว่ากระทรวงยุติธรรมกำลัง "ฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย" และเขากำลังร่างข้อหาดูหมิ่นอำนาจรัฐสภาต่อรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม โดยยืนยันว่าจะไม่หยุดจนกว่าเหยื่อและผู้รอดชีวิตจะได้รับความยุติธรรม

ความล่าช้าและการเซ็นเซอร์ปัจจุบัน กระทรวงยุติธรรมยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถเปิดเผยไฟล์ทั้งหมดได้ทันตามกำหนดเส้นตายในวันศุกร์ อีกทั้งเอกสารที่ปล่อยออกมาส่วนใหญ่ยังถูก "ถมดำ" หรือปกปิดข้อมูลสำคัญไปจำนวนมาก โดยเฉพาะบันทึกภายในเกี่ยวกับการตัดสินใจสั่งฟ้อง ซึ่งทำให้สังคมยังคงตั้งคำถามถึงความจริงเบื้องหลังคดีอื้อฉาวระดับโลกนี้ต่อไป.


ที่มา BBC